อินโนเวสท์ เอกซ์ ลุ้น หุ้นไทย ใกล้ผ่านจุดต่ำสุด จับตาตัวแปรสำคัญ Fed หั่นดอกเบี้ยแรงหนุนดอลลาร์อ่อน ส่งเงินบาทแข็ง หวังปี 2568 หุ้นไทยเข้าสู่ขาขึ้น
เอกภาวิน สุนทราภิชาติ นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นและตลาดอนุพันธ์ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า หลังจากตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาลดลงต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คาดว่าปัจจุบันตลาดหุ้นไทยใกล้จะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว
ทั้งนี้ให้ติดตามตัวแปรสำคัญคือ การประชุมที่แจ็กสันโฮลในวันศุกร์นี้ (23 สิงหาคม) ซึ่ง เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงิน เพราะการประชุมทุกๆ ครั้งที่ผ่านมาในอดีตถือเป็นเวทีสำคัญที่ Fed จะใช้ส่งสัญญาณนโยบายทางการเงิน
โดยประเมินว่าการประชุมของ Fed ในเดือนกันยายนปีนี้จะเริ่มลดดอกเบี้ยลงครั้งแรกในระดับ 0.25% แต่ประเด็นที่สำคัญและยังต้องติดตามคือ ตลาดหุ้นจะตอบรับเชิงบวกหรือไม่ หรือมีความคาดหวังว่าในการประชุมรอบนี้จะลดดอกเบี้ยลงในระดับ 0.50% โดยประเด็นดังกล่าวจะมีความเชื่อมโยงไปสู่ผลกระทบการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์
ทั้งนี้หาก Fed ลดดอกเบี้ยลงที่ระดับ 0.25% อาจสร้างความผิดหวังให้กับตลาดหุ้นได้ เนื่องจากอาจมีผลทำให้ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น ดังนั้นจะมีผลกระทบให้ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอยู่ในขณะนี้พลิกกลับมาอ่อนค่า ส่งผลกระทบให้กระแสเงินลงทุนต่างประเทศ (Fund Flow) ที่เริ่มไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงที่จะหยุดชะงักลงได้
หุ้นไทยมีเสน่ห์น้อย เหตุ GDP โตต่ำ
โดยต้องยอมรับว่าความน่าดึงดูดหรือเสน่ห์ของตลาดหุ้นไทยยังมีต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้านที่มีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจหรือ GDP ที่สูงกว่าของประเทศไทย ที่รายงาน GDP ไตรมาส 2/26 ขยายตัวในระดับ 2.30% เปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่รายงาน GDP ไตรมาส 2/67 ออกมาขยายตัวสูงกว่าไทยทั้งหมด เช่น สิงคโปร์ GDP ขยายตัว 2.90%
ขณะที่ GDP ของอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม สามารถขยายตัวถึงระดับ 5-7% ดังนั้นการขยายตัวที่อยู่ในระดับที่ต่ำของไทยจึงเป็นปัจจัยที่จะดึงดูดความน่าสนใจของ Fund Flow ให้เข้ามาลงทุนตลาดหุ้นไทยทำได้ค่อนข้างยาก ภายใต้สถานการณ์ที่ค่าเงินบาทไม่ได้มีทิศทางแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามต่อในระยะต่อไป
อย่างไรก็ดีหากประชุมของ Fed ในเดือนกันยายนปีนี้มีการลดดอกเบี้ยในระดับ 0.50% มีโอกาสที่จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อ ขณะที่ค่าเงินบาทมีโอกาสที่จะแข็งค่าขึ้นต่อจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดได้ด้วย
ลุ้นหุ้นไทยขึ้นต่อก่อนประชุมแจ็กสันโฮล
เอกภาวินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยก่อนที่จะมีการประชุมที่แจ็กสันโฮลในวันศุกร์นี้ (23 สิงหาคม) คาดว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง โดยมีโอกาสขึ้นไปทดสอบแตะระดับ 1,330-1,335 จุด ซึ่งเป็นระดับแนวต้านสำคัญ โดยที่ผ่านมาดัชนีพยายามปรับขึ้นมาทดสอบแนวต้านดังกล่าว แต่ก็ยังไม่สามารถผ่านได้
ทั้งนี้หากดัชนีหุ้นไทยสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือระดับดังกล่าวได้ ในเชิงสัญญาณทางเทคนิคจะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าตลาดหุ้นจะเกิดจุดเปลี่ยนแนวโน้มไปสู่ขาขึ้นได้
สำหรับประเด็นปัจจัยการเมืองในประเทศที่เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นหลังจากได้ แพทองธาร ชินวัตร มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่แทน เศรษฐา ทวีสิน ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งถอดถอนออกจากตำแหน่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยตอบรับเชิงบวกจากประเด็นดังกล่าวไปแล้ว หลังจากมีการเลือกบุคคลที่จะมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ได้เร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
จับตานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ‘แพทองธาร’
ทั้งนี้ในระยะถัดไปคาดว่านักลงทุนติดตามนโยบายด้านเศรษฐกิจรวมถึงรายชื่อคณะรัฐมนตรีที่ประกาศออกมา และโครงการดิจิทัลวอลเล็ตว่าจะสามารถเดินหน้าโครงการได้ต่อหรือไม่ อีกทั้งรัฐบาลจะมีมาตรการอื่นๆ ที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจในด้านการบริโภคในระยะสั้นออกมาระหว่างรอโครงการดิจิทัลวอลเล็ตหรือไม่ หากทำได้น่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น
อย่างไรก็ดีสถานการณ์ปัจจุบันประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยเป็นช่วงของปลายวัฏจักรขาลงแล้ว โดยประเมินว่าในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้มีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องได้ถึงปี 2568 โดยประเมินว่าตลาดหุ้นไทยในปีหน้ามีโอกาสเข้าสู่ช่วงขาขึ้นอย่างชัดเจน
ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามหรือระมัดระวัง คาดว่าจะยังเห็นความผันผวนในตลาดหุ้นไทยอยู่บ้าง จากปัจจัยเสี่ยงความไม่แน่นอนทางการเมืองในอนาคตว่าจะมีการยื่นการถอดถอน แพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คล้ายกับกรณีของ เศรษฐา ทวีสิน เกิดขึ้นอีกหรือไม่ รวมถึงความชัดเจนของอัตราดอกเบี้ยที่อาจลดลงต่ำกว่าที่ตลาดคาดหวัง ซึ่งจะเป็นประเด็นที่สร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน หากในกรณีที่ตลาดยังไม่ผ่านจุดต่ำสุดและมีการปรับตัวลดลงต่อ มองว่าเป็นโอกาสในการทยอยเข้าซื้อสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว หรือ Selectiver โดยมีธีมที่แนะนำ 3 ธีมลงทุน ดังนี้
- หุ้น Earning Play และราคายังไม่แพง ได้แก่ GULF, TU, BDMS
- หุ้นปันผลดีจากผลการดำเนินงานงวดครึ่งแรกปี 2567 โดยที่มี Dividend Yield ในระดับ 2% คือ BCP, TU
- หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากกองทุน ThaiESG ซึ่งจะเริ่มมีเม็ดเงินทยอยเข้ามาในช่วงปลายปี 2567 หลังจากเริ่มมีการผ่อนคลายหลักเกณฑ์ให้มีความน่าดึงดูดและน่าสนใจในการลงทุนมากขึ้น ส่งผลให้มีเม็ดเงินทยอยเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น โดยหุ้นที่จะเป็นกลุ่มเป้าหมายลงทุนของกองทุนนี้ได้แก่ ADVANC, AOT, BBL, CPALL, KTB