Golden Goose เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ลักชัวรีชื่อดังระดับโลกที่เลือกมาเปิดสาขาแรกในประเทศไทยในปี 2024 แต่การมาบ้านเราของGolden Goose ที่โด่งดังสุดๆ กับสนีกเกอร์แบบ Distressed ลายดาว ก็ถือว่าไม่ธรรดาและก้าวไปอีกขั้น เพราะทางแบรนด์ที่เปิดตัวเมื่อปี 2000 ตัดสินใจมาเปิดคาเฟ่แห่งแรกของตัวเองด้วย ณ ห้าง EMQUARTIER ในชื่อ Younique Café ซึ่งทำให้เห็นถึงอีกมิติของGolden Goose ที่อยากขยายกรอบความเป็นไปได้ของตัวเอง และมีบริบทของความเป็นไลฟ์สไตล์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ล่าสุด THE STANDARD POP มีโอกาสพูดคุยกับ Mauro Maggioni ซีอีโอโซนเอเชียของGolden Goose ถึงการมาเปิดธุรกิจที่ประเทศไทย ตัวตนของแบรนด์ และสิ่งที่เราต้องจับตามองในอนาคต
ทำไม Golden Goose ถึงเลือกมาเปิดสาขาในประเทศไทย
Mauro Maggioni: ในฐานะที่เป็นแบรนด์ระดับโลก กรุงเทพมหานครเป็นทำเลที่เหมาะแก่การเปิดสาขาใหม่ของเราเป็นอย่างมาก ถือเป็นเมืองที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการเปิดร้านค้าแห่งใหม่ เนื่องจากเรามุ่งเน้นกลยุทธ์การขยายตลาดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพมหาศาลสำหรับการเติบโตของแบรนด์เรา แน่นอนว่ามาจากศักยภาพอันยอดเยี่ยมของตลาด เพราะว่าลูกค้าชาวเอเชีย-แปซิฟิกมีจำนวนมากที่เป็นนักท่องเที่ยวที่เคยซื้อสินค้าของเราตามร้านค้าในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
อะไรที่ทำให้ประเทศไทยแตกต่างและมีพลังมากกว่าตลาดอื่นๆ
Mauro Maggioni: ประเทศไทยมีวัฒนธรรมที่หลากหลายและมีชีวิตชีวา ผสานกับรสนิยมแฟชั่นที่มีมาเนิ่นนาน สิ่งเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยเป็นตลาดที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับGolden Goose เราคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทย เนื่องจากพวกเขาคุ้นเคยกับแบรนด์ของเราอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีรสนิยมแฟชั่นที่สอดคล้องกับแบรนด์เราอีกด้วย
ขณะที่เรายังคงขยายสาขาไปทั่วเอเชีย การสร้างความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับชุมชนท้องถิ่นและการรับฟังเสียงตอบรับจากพวกเขา นับเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จของเรา การได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากร้านค้าสาขาแรกในกรุงเทพฯ ยิ่งตอกย้ำความมั่นใจในศักยภาพของตลาดแห่งนี้ เราตื่นเต้นที่จะมีโอกาสทำให้การมีอยู่ของเราโดดเด่นมากกว่าที่เคย บนพื้นที่ที่มีชีวิตชีวาและมีมิติแห่งนี้
ทำไม Golden Goose ตัดสินใจที่จะเปิด Younique Café ที่แรกที่กรุงเทพฯ และคาดหวังอะไรเมื่อขยายธุรกิจเข้าสู่หมวดอาหารและเครื่องดื่ม
Mauro Maggioni: Younique Cafè คือคอนเซปต์ที่แหวกแนว ผสมผสานนวัตกรรมด้านอาหารและเครื่องดื่มเข้ากับรากฐานความเป็นอิตาเลียนอันยาวนานของแบรนด์ Golden Goose การเปิดตัว Younique Cafè ที่กรุงเทพฯ ถือเป็นการขับเคลื่อนที่ใช่ร่วมกับวัฒนธรรมกาแฟที่เฟื่องฟูในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก กระแสความนิยมนี้ควบคู่ไปกับความชื่นชอบในคุณภาพและนวัตกรรม สร้างโอกาสอันยอดเยี่ยมสำหรับการเปิดประสบการณ์กาแฟระดับพรีเมียมที่นี่
แผนการขยายสาขา Younique Cafè ของเราไม่ได้หยุดอยู่แค่กรุงเทพฯ เท่านั้น เรายังมีแผนเปิดอีก 2 สาขาในจีน คือ หนานจิงและเซี่ยเหมิน รวมถึงจุดหมายปลายทางระดับโลกอื่นๆ เช่น กรุงโซล ดัลลัส และนครนิวยอร์ก เป้าหมายของเราคือการสร้างนิยามใหม่ให้กับวัฒนธรรมกาแฟ ด้วยแนวทางการปรับแต่งอาหารและเครื่องดื่มแบบเฉพาะตัวอันเป็นนวัตกรรมของเรา
Golden Goose ตั้งราคาสินค้าที่แข่งขันได้กับแบรนด์หรูระดับโลกอื่นๆ ซึ่งถือว่ามีอุปสรรคไหมในการสร้างฐานลูกค้าในประเทศอย่างไทยที่มีผู้บริโภคจำนวนมากนิยมแบรนด์ลักชัวรียักษ์ใหญ่
Mauro Maggioni: ในขณะที่แบรนด์สุดหรูนั้นจดจ่อไปที่การสร้างสรรค์ตามความต้องการของตลาด แต่Golden Goose ก็ยังคงเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าหลงรักเสมอ วัฒนธรรมของแบรนด์คือสิ่งที่ทำให้แบรนด์กลายเป็นตำนานและเป็นที่รู้จักอย่างแท้จริง รวมทั้งเป็นที่น่าจดจำ ซึ่งสิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาตามกาลเวลาและผ่านความสัมพันธ์ของผู้คน
ลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมGolden Goose ก็เพราะเขารักผลิตภัณฑ์ของเรา และชอบในเรื่องราวที่ถักทอไปกับผลิตภัณฑ์เหล่านั้น โดยร้านค้าของเราคือหัวใจสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมของแบรนด์ เป็นพื้นที่ที่เฉลิมฉลองการสร้างสรรค์ร่วมกันทั้งแบรนด์และลูกค้า เราเชื่อมโยงกับลูกค้าโดยให้พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ผ่านช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญของเรา หรือที่เรียกว่า ‘Dream Makers’ ลูกค้าสามารถออกแบบร่วมผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นได้ ทำให้ผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นไม่เหมือนใครและเป็นชิ้นเดียวในโลก
นี่คือความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่ของเรา การสร้างประสบการณ์ในการปรับแต่งผลิตภัณฑ์อันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยเป้าหมายที่จะถ่ายทอดเรื่องราวส่วนตัวของแต่ละคนลงไปในผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาจะหวงแหนไปตลอดกาล เพราะนั่นคือตัวตนของเรา นั่นคือสิ่งที่Golden Goose ยึดมั่น เราคือผืนผ้าที่ปะติดปะต่อของเรื่องราว ความทรงจำ และประสบการณ์ ที่จะจดจำไปตลอดกับทุกคน
คำว่า ‘งานฝีมือ’ เป็นคำที่แบรนด์ต่างๆ ใช้บ่อยมาก ซึ่งคำนี้มีความสำคัญต่อ Golden Goose อย่างไรบ้าง
Mauro Maggioni: ความชำนาญในการทำงานฝีมือเป็นหัวใจหลักของGolden Goose ตลอดระยะเวลา 20 ปี เรามุ่งมั่นผลิตงานฝีมืออันประณีตและความพิถีพิถัน รวมทั้งสนับสนุนช่างฝีมือที่มากด้วยทักษะเบื้องหลังที่มีผลงานอันวิจิตรเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นช่างฝีมือ ช่างตัดเสื้อ ศิลปินท้องถิ่นฝีมือเยี่ยม และอีกมากมาย รากฐานของแบรนด์เราเกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์ที่รังสรรค์ด้วยมือ โดยช่างฝีมือท้องถิ่นผู้เชี่ยวชาญ เราจึงได้ผลงานที่มีคุณค่าและเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ระยะเวลาและความใส่ใจในการผลิตชิ้นงานผ้าใบ 1 คู่ของGolden Goose ใช้เวลามากกว่า 4 ชั่วโมง แสดงให้เห็นว่าแบรนด์เรานั้นคอยใส่ใจทุกรายละเอียด คุณภาพ และแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ที่ใช้เวลาแค่เสี้ยวหนึ่งในการผลิตรองเท้าออกมา
โดยเราท้าทายความชำนาญในการทำงานฝีมือและความคิดสร้างสรรค์เสมอ หลอมรวมสองสิ่งนี้เข้าด้วยกันด้วยความรักผ่านสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดนั่นคือ การรังสรรค์ชิ้นงานอันเป็นเอกลักษณ์ เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ และคงทนถาวร การทำงานร่วมกันระหว่างช่างทำรองเท้าของ Golden Gooseและลูกค้า เป็นองค์ประกอบสำคัญต่อภารกิจนี้
การคอลลาบอเรชันก็เป็นวิธีที่หลายๆ แบรนด์เลือกทำเพื่อสร้างยอดขายและ Brand Awareness ซึ่ง Golden Goose ได้โฟกัสสิ่งนี้ไหม
Mauro Maggioni: Golden Gooseมีวิธีการคอลลาบอเรชันที่แตกต่างกันออกไปอยู่แล้ว สำหรับเรานั้น เราเลือกทำให้เป็นช่องทางที่ได้ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ออกมา ช่วยผลักดันวัฒนธรรม ศิลปะ และมอบคุณค่าร่วมกัน ซึ่งในช่วงที่เริ่มก่อตั้งแบรนด์ Golden Goose เรามีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับวงการศิลปะอยู่แล้ว โดยเราร่วมมือกับศิลปินระดับโลกและสถาบันอันทรงเกียรติอย่าง Biennale ที่เมืองเวนิส ด้วยสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับแวดวงศิลปะ เราจึงสร้าง Haus ขึ้นมา ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับขยายความพิเศษด้านนี้ของแบรนด์เรา Haus ไม่ใช่แค่พื้นที่ทางกายภาพ แต่มันเป็นแพลตฟอร์มทางวัฒนธรรมที่ทรงพลัง บ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ และเป็นเสมือนบ้านหลังใหญ่สำหรับชุมชนนักฝันทั่วโลกของเรา Haus เชื่อมโยงเหล่าผู้สร้างสรรค์จากหลากหลายที่ สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเกิดผลร่วมกัน
ในอนาคต ทิศทางในปีต่อๆ ไปของ Golden Goose ในไทยจะออกมาเป็นอย่างไร
Mauro Maggioni: เราตื่นเต้นกับการเข้ามาทำตลาดในไทย ทั้งยังได้รับผลตอบรับที่ดีอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะตอนที่เราเปิดตัว Younique Café ในประเทศไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับGolden Goose ด้วยกลุ่มลูกค้าที่ติดตามแฟชั่นและชื่นชอบวัฒนธรรม ซึ่งคุ้นเคยกับแบรนด์ของเรามาอยู่แล้ว โดยเรายังคงมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนท้องถิ่น มุ่งหวังที่จะเป็นแบรนด์ที่ได้รับเลือกในประเทศไทย และได้รับการยอมรับในด้านความชำนาญและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ โดยในภายภาคหน้าพวกเราตื่นเต้นที่จะได้ลุยไปกับการทำงานและการขยายฐานในประเทศไทย กลยุทธ์การตลาดที่สร้างสรรค์ ซึ่งปรับให้เข้ากับความชอบในท้องถิ่นและการสืบสานสัมพันธ์กับลูกค้าชาวไทยของเรา