เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA รายงานกำไรสุทธิ 1Q67 ที่ 313 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.5%YoY และ 150.4%QoQ เนื่องจากไม่มีการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือเหมือนใน 4Q66 กำไรปกติอยู่ที่ 350 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.6%YoY และ 17.9%QoQ ซึ่งเป็นผลมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้นสู่ 10.8% ใน 1Q67 (1Q66: 8.6%, 4Q66: 5.7%) จากการอ่อนค่าของเงินบาทและการควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับรายการที่สำคัญใน 1Q67 มีดังนี้
- รายได้อยู่ที่ 179 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 6%YoY โดยมีสาเหตุมาจากรายได้จากธุรกิจ IC ที่อ่อนแอทั้งในประเทศไทยและจีนที่ลดลง 11%YoY และ 50%YoY เนื่องจากปริมาณความต้องการสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ Consumer Electronics และสมาร์ทโฟน ยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวในสภาวะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับสูง
อย่างไรก็ตาม รายได้เพิ่มขึ้น 2%QoQ ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้จากธุรกิจ PCBA ทั้งในประเทศไทยและจีนที่ยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้น 6%QoQ และ 4%QoQ ตามลำดับ โดยได้รับการสนับสนุนจากอุปสงค์ในกลุ่มยานยนต์ อุตสาหกรรม และผลิตภัณฑ์ Access Control ที่แข็งแกร่ง รายได้จากธุรกิจ RFID เพิ่มขึ้น 19%YoY และ 1%QoQ จากอุปสงค์ RFID Inlays ที่แข็งแกร่ง
- อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นสู่ 10.8% ใน 1Q67 จาก 8.6% ใน 1Q66 และ 5.7% ใน 4Q66 เพราะได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐและการควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กระทบอย่างไร:
หลังรายงานผลประกอบการ ณ วันนี้ (21 พฤษภาคม) ราคาหุ้น HANA ปรับลง 0.61% สู่ระดับ 40.50 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 0.41% สู่ระดับ 1,370.99 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2567:
ผู้บริหารคาดว่าผลการดำเนินงานจะทยอยฟื้นตัวใน 2Q67 และคาดว่าจะฟื้นตัวชัดเจนใน 2H67 การปรับตัวดีขึ้นหลักๆ จะเกิดจาก:
- ธุรกิจ Outsourced Semiconductor Assembly and Test (OSAT) หรือธุรกิจ IC (29% ของรายได้รวม) ที่คาดว่าจะยังคงอ่อนแอใน 2Q67 แต่ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสมาร์ทโฟนคาดว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตใน 2H67 เนื่องจากระดับสินค้าคงคลังค่อนข้างต่ำ ขณะที่คาดว่าจะมีอุปสงค์จากวงจรการเปลี่ยนมาใช้สมาร์ทโฟน AI เข้ามาช่วย อย่างไรก็ตาม โรงงาน IC ที่เจียซิง (2% ของรายได้รวม) ยังคงได้รับผลกระทบจากการย้ายฐานการผลิตของลูกค้าตะวันตกที่ลดความเสี่ยงย้ายออกจากประเทศจีน
- ธุรกิจ PCBA (65% ของรายได้รวม) คาดว่าจะยังคงแข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มยานยนต์ อุตสาหกรรม และการแพทย์ รวมถึง HANA Jiaxing ในประเทศจีน ก็น่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นต่อเนื่องหลังจากผ่านวันหยุดยาวเทศกาลตรุษจีนใน 1Q67
- ธุรกิจ Radio Frequency Identification (RFID) (13% ของรายได้รวม) คาดว่าจะมีโมเมนตัมเป็นบวกหลังจากได้เซ็นสัญญากับ Michelin (ผู้ผลิตยางล้อรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก) ที่อนุญาตให้ HANA ผลิต / ขาย RFID Tire Tag ให้กับผู้ผลิตยางเจ้าอื่นได้ แต่จะต้องจ่ายค่า Royalty Fee ให้กับ Michelin ซึ่งทาง HANA กำลังสั่งซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติมอีก 2 เครื่องเข้ามาในช่วง 3Q67 เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น รวมถึงผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่อย่าง Walmart ก็กำลังรอ Auburn Certificate ที่คาดว่าจะเสร็จกลางปีนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนอีกอย่างหนึ่งให้กับธุรกิจ RFID ของ HANA
- ธุรกิจ PMS (Silicon & Silicon Carbide) คาดว่าจะฟื้นตัวได้ใน 2Q67 จากการเพิ่ม Equipment Capacity สำหรับผลิตภัณฑ์ Silicon Carbide ซึ่งยังมีความต้องการค่อนข้างมาก ขณะที่ Silicon Product คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัว แต่การแข่งขันราคาของ Silicon Product ยังค่อนข้างแรงอยู่
นอกจากนี้ HANA สามารถส่งผ่านต้นทุนวัตถุดิบอย่างทองแดงและทองคำ (ใช้ในการเชื่อมลวดในธุรกิจ IC) ไปยังลูกค้าได้ ดังนั้นราคาทองแดงและทองคำที่ปรับตัวขึ้นแรงในระยะหลังนี้จึงไม่มีผลกระทบต่อ HANA อย่างไรก็ตาม HANA ประเมินผลกระทบเบื้องต้นจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำได้ที่ราว 15 ล้านบาทต่อไตรมาส หรือราว 2.8% ของประมาณการกำไรปี 2568
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ InnovestX Research เชื่อว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง 24%YTD สะท้อนประเด็นลบไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว และคงคำแนะนำ Outperform สำหรับ HANA เนื่องจากคาดว่ากำไรจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นใน 2H67 โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 42 บาทต่อหุ้น อ้างอิง P/E เฉลี่ย 5 ปีที่ 19 เท่า
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญคือ การจัดการแรงงานและซัพพลายเออร์ (S)