พูดถึงสุดยอดโปรดิวเซอร์ในยุคนี้ เชื่อว่าทุกคนต้องคุ้นหูกับชื่อของ Jack Antonoff กันอย่างแน่นอน กับตำแหน่งฟรอนต์แมนของเขาในวงดนตรีอย่าง Bleachers และมากไปกว่านั้น ในปีนี้เขายังสามารถคว้ารางวัลแกรมมี่ Producer of the Year ไปได้ รวมถึงยังเคยได้สร้างสรรค์ผลงานเพลงให้กับศิลปินเพื่อนรักอย่าง Taylor Swift, Lana Del Rey, Lorde ฯลฯ
ล่าสุด THE STANDARD POP มีโอกาสได้พูดคุยกับ Jack Antonoff เกี่ยวกับผลงานอัลบั้มชุดที่ 4 อย่าง ‘Bleachers’, เป้าหมายที่อยากทำในอนาคต, การทำงานกับโปรดิวเซอร์เพื่อนรักอย่าง Lana Del Rey ในซิงเกิล ‘Alma Mater’ รวมถึงโอกาสในการมาเยือนที่ไทยด้วย
แนวเพลงอัลบั้ม Bleachers แตกต่างจากผลงานก่อนอย่างไรบ้าง
Jack: ผมคิดว่ามันดูเหมือนกับคุณกำลังขับรถบนขอบหน้าผา และรู้สึกถึงความคุ้นเคยนั่นตลอดเวลา รู้สึกเหมือนคุณกำลังจะบินหนีออกไป นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกกับตัวเอง และผมคิดว่าภายในธีมนั้น (สำหรับอัลบั้ม Bleachers) ความแตกต่างคือการมีอยู่ของธีมแบบนี้ที่พวกเราเองก็ไม่เคยมีมาก่อน
ส่วนเพลงของผมมักจะเป็นการสำรวจความคิดเห็นในอดีตและอนาคต คิดถึงว่าจะเกิดอะไรขึ้น รวมถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้น ก็จะวนๆ อยู่ในเชิงนี้ไปมา และเมื่อผมเริ่มเขียนอัลบั้มนี้ ผมไม่รู้ว่าทำไมนะ ทันใดนั้นผมรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งจะล้มลงไปเลย
ทำไมถึงตั้งชื่อสตูดิโออัลบั้มที่ 4 ของคุณในชื่อวงว่า ‘Bleachers’
Jack: เพราะความรู้สึกเลยจริงๆ เพราะผมรู้สึกถึงตัวตนที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน และก็ไม่รู้ว่าทำไม ไม่รู้จริงๆ แค่รู้สึกขอบคุณที่ตัวตนนั้นยังคงอยู่ตรงนี้
เพลงไหนที่ทำเสร็จเร็วที่สุดและใช้เวลานานที่สุดในอัลบั้มนี้?
Jack: เร็วที่สุดคือ ‘Tiny Moves’ เพลงนั้นหลุดออกมาจากตัวผมเลยแหละ ผมอยู่ในนิวออร์ลีนส์ และกำลังเล่นคีย์บอร์ดทั่วไป และ Patrik Berger กำลังเล่นเบส ทันใดนั้นผมก็เริ่มร้องเพลงนั้นไปเลย
ส่วนเพลงที่ทำยาวนานที่สุดน่าจะเป็น ‘Ordinary Heaven’ ซึ่งน่าจะเป็นเพลงโปรดของผมในอัลบั้มนี้ แต่เอาเป็นว่าผมไม่รู้ว่าเพลงนั้นคือเพลงอะไร ผมใช้เวลาหามันมาตลอดเกี่ยวกับคำถามนี้ มันทำให้ผมจะเป็นบ้าได้ (หัวเราะ)
Lana Del Rey ร่วมเขียนและโปรดิวซ์เพลง ‘Alma Mater’ ในอัลบั้ม เธอสอนอะไรคุณเกี่ยวกับการเป็นนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์บ้าง
Jack: ผมว่าทุกสิ่งทุกอย่างเลยล่ะ เธอคือหนึ่งในเพื่อนที่ดีที่สุดในโลกของผม และเป็นหนึ่งในคนโปรดของผม แถมยังเป็นหนึ่งในศิลปินคนโปรดอีก ทุกคนที่อยู่ล้อมรอบตัวผมทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากตัวเอง จนมันไม่สามารถแม้แต่จะเริ่มเล่าให้คุณฟังได้หมดจดเกี่ยวกับทุกสิ่งที่พวกเขาได้สอนผม เพราะว่านั่นมันคือทุกอย่างเลย
คุณได้สร้างสรรค์ผลงานให้กับศิลปินคนอื่นๆ อีกมากมาย อยากรู้ว่าคุณจะสร้างสมดุลให้กับงานของตัวเองและมีเวลาให้กับ Bleachers ได้อย่างไรบ้าง
Jack: ผมเลือกทำงานเฉพาะในสิ่งที่ผมรู้สึกกับมันด้วยเท่านั้นนะ แล้วผมไม่รู้ด้วยว่าทำไม คือผมไม่รู้ว่าไปเอาเวลามาจากไหน แต่คุณรู้ไหม ผมแค่ทำงานสิ่งหนึ่งสักเล็กน้อย จากนั้นผมก็จะข้ามไปทำอีกสิ่งหนึ่ง และผมก็ไปทุกที่ใจมันรู้สึกได้ บางครั้งก็อยู่กับคนอื่นบ้าง และบางครั้งก็เป็นเหล่า Bleachers บ้าง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทุกอย่างดันรู้สึกเหมือนว่ามันเข้ากันได้ดี
อัลบั้มแรกของ Bleachers ‘Strange Desire’ เปิดตัวในปี 2014 คุณคิดว่า Bleachers ในปัจจุบันเหมือนและแตกต่างจากเมื่อ 10 ปีที่แล้วอย่างไร
Jack: เป็นคำถามที่น่าสนใจมาก มันแตกต่างออกไปนะ เพราะเสียงของวงกลายเป็นส่วนสำคัญของสิ่งต่างๆ ตอนที่ผมทำ Strange Desire ก็คืออยู่แบบโดดเดี่ยวเลย ส่วนปัจจุบันนี้ก็คงเหมือนกัน เพราะว่าวิธีเขียนมาจากตอนที่เปลี่ยวเหงา ซึ่งก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก
แต่แค่มันจะแตกต่างออกไปเล็กน้อย เพราะตอนนี้ผมถูกครอบงำโดยวงดนตรีที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่ามีเครื่องยนต์ขนาดยักษ์กำลังขับเคลื่อนผมอยู่
คุณอยากเห็น Bleachers เป็นอย่างไรในอีก 10 ปีข้างหน้า
Jack: ผมอยากจะเห็นพวกเราทุกคนได้โบยบินไปตามเส้นทางสายนี้ที่เราทำกันอยู่แล้ว ผมอยากให้พวกเรามีกันและกัน และผมก็อยากจะทำลายกรอบเดิมๆ เพื่อทำสิ่งใหม่ๆ ด้วย
ในปัจจุบันมีการสนทนากันมากมายเกี่ยวกับ ‘AI’ ที่ได้แทรกซึมเข้าไปในวงการเพลงด้วยรูปแบบต่างๆ เช่น เพลงคัฟเวอร์ คุณรู้สึกกับมันอย่างไรในฐานะศิลปินและนักดนตรี
Jack: อย่าไปคิดมาก เพราะสิ่งที่ผมทำคือการเป็นมนุษย์ที่แบ่งปันความรู้สึกเหล่านี้ออกมาอย่างล้นหลาม มันเกี่ยวกับจิตวิญญาณของผมและแบ่งปันสิ่งนั้น
วินาทีที่ผลงานกลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำมาจากมนุษย์ มันก็กลายเป็นแนวที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ผมก็เลยกังวลว่ามันจะทำอะไร สร้างผลกระทบอะไรได้บ้าง แต่สำหรับผม โดยส่วนตัวแล้วผมรู้สึกว่าตัวเองรู้ดี วินาทีที่มันไม่ได้มาจากฝีมือมนุษย์ ผมก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องสนใจมันจริงๆ
สุดท้ายนี้แฟนๆ ชาวไทยจะมีโอกาสได้เจอคุณกับ Bleachers มาแสดงในประเทศเราไหม?
Jack: โอ้ แน่นอนเลย ผมต้องไปเมืองไทย! ผมรักสถานที่นั้นมาก ผมรักแฟนๆ ของเราที่นั่น และผมเห็นพวกเขาทางออนไลน์มาแล้ว แทบรอไม่ไหวที่จะมาอยู่รวมกัน
ภาพ: Bleachers