วิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่ไม่ว่าด้วยสาเหตุไหน วิกฤตจะทำให้สินทรัพย์ในตลาดการเงินเผชิญกับความผันผวนสูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
‘เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่วิกฤตหรือไม่’ สำหรับตลาดการเงินไทยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อให้เรารู้เท่าทันตลาด ผมจึงสำรวจสถานการณ์ในตลาดหุ้น บอนด์ และอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อประเมินว่าตลาดใด หรือสินทรัพย์ไหน กำลังส่งสัญญาณเตือนว่าวิกฤตเศรษฐกิจไทยก่อตัวขึ้นหรือไม่
เรียงจากตลาดที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดไปสู่เสี่ยงสูงที่สุด
‘ตลาดบอนด์ไทย’ ความเสี่ยงวิกฤตต่ำ จุดที่ต้องระวังมีเพียงหุ้นกู้ภาคเอกชน
สถานการณ์ปัจจุบันของตลาดบอนด์ คือดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ 2.50% ยีลด์พันธบัตรรัฐบาลไทย 2 ปี 10 ปี อยู่ที่ระดับ 2.1% และ 2.5% ตามลำดับ หนี้สาธารณะคงค้าง 11 ล้านล้านบาท คิดเป็นราว 61%/GDP ตราสารหนี้ที่ครบกำหนดรวมตราสารหนี้ออกใหม่ในปีนี้ คาดว่ามีมูลค่ารวมราว 2.7 ล้านล้านบาท เป็นหุ้นกู้ภาคเอกชนราว 8.9 แสนล้านบาท และ 10% เป็น Non-Rate
ระดับยีลด์พันธบัตรสะท้อนสภาพคล่องที่สูง มีความหวังว่า ธปท. จะลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.50% ส่วนระดับหนี้สาธารณะแม้จะสูงขึ้นกว่าก่อนโควิด แต่ไม่ได้อยู่ในระดับวิกฤต ไม่ว่าจะเทียบกับค่าเฉลี่ยของ EM Asia ที่ 75%/GDP หรือเฉลี่ยทั่วโลกที่ 97%/GDP
โดยรวมผมมองว่าบอนด์ไทยเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยไม่ได้อยู่ในข่ายวิกฤต สิ่งที่ควรจับตามีเพียงหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงเครดิตสูง แต่มองจากขนาดต่อสภาพคล่องในระบบแล้ว ถ้าเตรียมพร้อมและควบคุมให้ดี ไม่ควรลุกลามเป็นปัญหาระดับวิกฤตการเงินได้
‘เงินบาท’ เป็นสินทรัพย์ที่ใกล้กับระดับวิกฤตมากที่สุด แม้พื้นฐานยังไม่มีปัญหาใหญ่ แต่อนาคตต้องรักษาความเชื่อมั่นให้ได้
ช่วงนี้เงินบาทแกว่งตัวอยู่ในระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์ ห่างแค่ 6% จากระดับอ่อนค่าที่สุดตอนวิกฤตโควิดที่ราว 38 บาทต่อดอลลาร์ ระดับพื้นฐานอย่าง BIS NEER ร่วงลงมาที่ 96 เทียบกับสกุลเงินเอเชียอื่นถือว่าอยู่ระดับกลางๆ ขณะที่ ธปท. มีทุนสำรองระหว่างประเทศถึง 2.2 แสนล้านดอลลาร์ สูงสุดเป็นอันดับ 16 ของโลก ในอาเซียนเป็นรองแค่สิงคโปร์ ด้านดุลบัญชีเดินสะพัดฟื้นตัวแล้ว และคาดว่าจะเกินดุลในปีนี้
อย่างไรก็ดี ในระยะสั้นเงินบาทมีความเสี่ยงอ่อนค่ามากกว่าแข็ง เพราะมีทั้งดอกเบี้ยที่คาดว่าจะลดลงเร็ว สวนทางกับธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่อาจคงดอกเบี้ย ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยระยะ 3 เดือนของสหรัฐฯ และไทยอยู่ในระดับสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ถึงกว่า 3.1% ถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า การเมืองไม่นิ่ง โอกาสเห็นเงินทุนไหลออกจนเงินบาททะลุระดับวิกฤตก็มีอยู่
ด้วยความผันผวนต่อปีราว 10% ผมมองว่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าขึ้นไปแตะระดับวิกฤต 38-40 บาทต่อดอลลาร์ ถ้าเศรษฐกิจไทยมีปัญหา จน ธปท. ต้องลดดอกเบี้ยแรง พร้อมกับตลาดทุนปิดรับความเสี่ยง การจะป้องกันได้สิ่งสำคัญคือต้องคุมความเชื่อมั่นของนักลงทุน อย่าให้เกิดความกังวลว่าจะมีวิกฤต เพราะจะสร้างความผันผวนจากเงินทุนเคลื่อนย้ายทันที
‘หุ้นไทย’ เป็นตลาดที่ความเสี่ยงสูงที่สุด อนาคตไม่สดใส ดีที่ไม่ได้อยู่ในระดับมูลค่าที่แพงมาก
ระดับดัชนี SET Index ที่ราว 1,400 จุด เป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปลายปี 2020 แม้จะห่างจากระดับต่ำสุดช่วงโควิดที่ 1,125 จุด แต่ก็ไม่ใกล้เคียงระดับ 1,600-1,700 จุดช่วงก่อนโควิด ด้านรายได้ช่วง 4 ไตรมาสหลังสุดหดตัวถึง 12% และเป็นการลดลงทั้งยอดขายและ Margin เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ Long Term P/E ลงมาซื้อขายที่ระดับ 14x ต่ำกว่าเฉลี่ย 18x ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาราว 22%
อนาคตตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้ฟื้นตัวทั่วถึง ล่าสุดนักวิเคราะห์มองว่ารายได้ของดัชนี SET ในปีนี้จะเติบโตราว 10% ด้วยแรงหนุนหลักจากกลุ่มท่องเที่ยวและค้าปลีก ขณะที่กลุ่มใหญ่อย่าง พลังงาน ธนาคาร และบริการสุขภาพ คาดว่าจะมีการเติบโตของกำไรเพียง 3-5%
ถ้ามองว่าวิกฤตเศรษฐกิจไทยต่อจากนี้คือการเติบโตต่ำกว่าศักยภาพต่อเนื่อง ตลาดหุ้นไทยคือจุดที่ส่งสัญญาณวิกฤตมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย วิกฤตนี้จะขยายวงกว้างไปสู่ตลาดเงินและตลาดบอนด์ได้ถ้ารายได้ไม่กลับตัว นำไปสู่การไหลออกของเงินทุน จนนักลงทุนในประเทศเสียความเชื่อมั่นไปด้วย
อย่างไรก็ดี การที่เศรษฐกิจเป็นแค่ภาพของการเติบโตต่ำแต่ไม่ได้ถึงกับถดถอย วิกฤตนี้จะไม่เป็นความเสี่ยงฉับพลันเหมือนตลาดอื่น และด้วย Valuation ของตลาดไม่แพงมาก เมื่อไรที่เศรษฐกิจฟื้นตัวตลาดหุ้นก็จะสามารถออกจากวิกฤตได้ก่อนเพื่อน
ดังนั้น เมื่อมองผ่านมุมของตลาดการเงินไทยก็ต้องสรุปว่า ตอนนี้เศรษฐกิจไทยยังไม่วิกฤตเฉียบพลัน แต่ถ้าปล่อยให้เติบโตต่ำต่อเนื่องแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็จะสะสมความเสี่ยงในตลาดเงินและตลาดบอนด์มากขึ้นนั่นเอง
หลังจากนี้ผมเชื่อว่านักลงทุนต้องวางกลยุทธ์เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสองกรณีหลักเป็นอย่างน้อย
กรณีฐาน คือเศรษฐกิจไทยเข้าสู่โหมดลงจอดแบบราบรื่น (Soft Landing)
แม้จะไม่เร่งตัวขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่อย่าให้ถึงขั้นเกิดวิกฤตการเงิน กรณีนี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีเสถียรภาพของตลาดเงินที่ดี การส่งออกต้องฟื้นตัว และนักท่องเที่ยวต้องกลับมา ในขณะเดียวกันก็ต้องมีนโยบายลดความเสี่ยงของตลาดบอนด์ลง ไม่ว่าจะเป็นการลดดอกเบี้ย หรือทำให้เอกชนเข้าถึงสภาพคล่องได้มากขึ้น
ข้อเสียของกรณีนี้ คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่เติบโตช้าจะไม่ได้รับการแก้ไข กลยุทธ์การลงทุนจึงทำได้เพียงพักเงินที่ตลาดบอนด์ รอทุนทั่วโลกไหลกลับ เงินบาทแข็ง ค่อยซื้อหุ้นไทยเป็นลำดับสุดท้าย
กรณีเลวร้ายคือปล่อยให้เกิดวิกฤตก่อน (Hard Landing) แล้วค่อยกระตุ้นให้ฟื้นตัว
เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้ถ้าไม่มีนโยบายช่วยประคองเศรษฐกิจเลยในระยะสั้น จนเอกชนขาดสภาพคล่อง นำไปสู่วิกฤตในตลาดบอนด์ ลามไปทำให้เงินบาทอ่อนค่า แล้วค่อยใช้นโยบายเศรษฐกิจกระตุ้นให้ฟื้นตัวกลับ
แม้จะดูรุนแรงแต่อาจแก้ปัญหาได้พร้อมกันสองจุดคือ เคลียร์ความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ที่ค้างอยู่ และปรับฐานการเติบโตให้กับบริษัทที่เหลือรอด กลยุทธ์การลงทุนคือถือพันธบัตรระยะสั้นและดอลลาร์ รอตลาดปรับฐาน และเข้าซื้อหุ้นที่พื้นฐานแข็งแกร่ง
ในมุมมองของคนไทย ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครที่อยากให้เกิดกรณีเร็วร้าย และช่วยกันได้ด้วยการทำงานของเราให้ดีที่สุด บนความหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ แต่ในมุมมองของการลงทุน ต้องไม่ลืมที่จะเตรียมกลยุทธ์รับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันไว้เสมอครับ