ฤดูกาลของคริสต์มาสในวันพรุ่งนี้ (25 ธันวาคม) เริ่มคึกคักแล้ว และอีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ปีใหม่ 2024 ผู้คนเริ่มมองหาของขวัญ และหนึ่งในสินค้าของขวัญที่ได้รับความนิยมคือแบรนด์ Bath & Body Works ด้วยกลิ่นหอมและราคาที่ย่อมเยา สามารถสร้างยอดขายได้ดีในทุกเทศกาลสำคัญ
จากช็อปเล็กๆ ในเมืองบอสตันของสหรัฐอเมริกา สู่หน้าร้านที่มีสาขาในหลายประเทศ อะไรที่สามารถครองใจผู้บริโภคไปทั่วโลก
สำนักข่าว CNN รายงานว่า Bath & Body Works แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายและผลิตภัณฑ์ความหอมที่มี ‘กลิ่น’ เป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์และมีให้เลือกหลากหลาย ซึ่งสินค้าเหล่านี้ล้วนผ่านการวิจัยระดับโลกและพัฒนาสินค้าผ่านผู้ซื้อซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นการนำเอาแรงบันดาลใจจากกลิ่นที่สร้างขึ้นจากรสชาติอาหาร ความคิดถึง และความหรูหรา มาสร้างจุดแข็งและใช้เป็นกลยุทธ์ในการดึงดูดยอดขายต่อปีได้ถึง 7 พันล้านดอลลาร์
โดยจุดเริ่มต้นของ Bath & Body Works นั้นมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่จำหน่ายผ่านแฟชั่น Express เล็กๆ จากนั้นจึงเปิดช็อปแห่งแรกในเมืองบอสตันในเดือนกันยายน ปี 1990
เพียงเวลา 6 ปี สามารถขยายสาขาไปเป็นร้านค้า 500 แห่ง จากยอดขาย 1 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2 เท่าเป็น 2 พันล้านดอลลาร์ ภายในปี 2004 จนปัจจุบัน Bath & Body Works มีร้านค้ามากกว่า 1,800 แห่งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา และมีสาขาแฟรนไชส์มากกว่า 450 แห่งในตลาดต่างประเทศ
การเติบโตหลักๆ มาจากฐานลูกค้าผู้หญิงที่มักจะคุ้นชินและผูกพันกับแบรนด์ผลิตภัณฑ์จนกลับมาซื้อซ้ำ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะพบแฟนๆ รีวิวและบอกต่อสินค้าบน TikTok หรือ YouTube และกลุ่มผู้บริโภคที่ยอมจ่ายให้กับการดูแลตัวเอง ทั้งสบู่หรือครีม หรือแม้แต่สินค้าเทียนหอมก็ได้รับความนิยม ซึ่งสามารถครองตลาดค้าปลีกได้เป็นอย่างดี
สำหรับ Bath & Body Works เป็นแบรนด์ในเครือ L Brands หรือชื่อเดิมคือ Limited Brands (ชื่อแรกดั้งเดิมคือ The Limited) บริษัทเดียวกับแบรนด์ Victoria’s Secret แต่ปัจจุบัน Bath & Body Works ได้แยกตัวออกมาตั้งบริษัทของตัวเองภายใต้ชื่อ Bath & Body Works, Inc. แล้วเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2021 ด้วยมูลค่า 7 พันล้านดอลลาร์
📌 ไม่หยุดพัฒนาสินค้า คือกุญแจสำคัญในการทำธุรกิจ
กุญแจสำคัญในการทำธุรกิจที่สามารถสร้างแบรนด์และเติบโตอย่างรวดเร็วนั้นมาจากแรงบันดาลใจของเจ้าของผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์และทีม ที่รู้จุดแข็งจากการนำเอาสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดจากการสร้างสรรค์นวัตกรรมมาปรับใช้ในผลิตภัณฑ์
ไม่ว่าจะเป็นการนำเอาหนังสือนิทาน, Cookie Butter & Bourbon ต้นกำเนิดของผลิตภัณฑ์ในช่วงเทศกาล มาตกแต่งลวดลาย สร้างทีมขายสินค้า มีทีมออกแบบและวิจัย รวมทั้งยังมุ่งเน้นการถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ด้วยการเดินทางไปยังประเทศต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูลและดูเทรนด์ประเทศนั้นๆ
“บางโปรดักต์มาจากรสชาติที่เราลิ้มลอง กลิ่นหอมที่เราได้รับ หรือดูจากกระแสหลัก จากนั้นก็พัฒนากลิ่นใหม่ๆ โดยใช้ความเชี่ยวชาญของบริษัทน้ำหอม เช่น Firmenich และ Givaudan จากสวิตเซอร์แลนด์ เป็นหนึ่งความท้าทายในการคิดสูตรที่หลากหลายของทีมเราด้วย” หนึ่งในผู้พัฒนาโปรดักต์กล่าว
หรือแม้แต่ช่วงคอลเล็กชันวันหยุดประจำปี 2023 ของ Bath & Body Works ทีมงานทุ่มลงทุนเดินทางไปยังลอนดอน, ปารีส, อัมสเตอร์ดัม, มอนทรีออล, ญี่ปุ่น และสถานที่ต่างๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา เพื่อดูเทรนด์และเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่พวกเขาทำขึ้นมานั้นสามารถตอบโจทย์ผู้คนทั่วโลกไปพร้อมๆ กัน
📌 รุกพัฒนาโปรดักต์ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าชาย หวังโตขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก
ปัจจุบันนำทีมโดยซีอีโอคนใหม่ Gina Boswell ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือนธันวาคม 2022 ซึ่งแน่นอนว่า Bath & Body Works กำลังผลักดันแบรนด์ให้เข้าสู่หมวดหมู่ใหม่ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ผม และผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายของผู้ชาย รวมไปถึงสินค้าอย่างน้ำยาซักผ้า
“ถือเป็นโอกาสในช่วงเวลาที่ผู้ค้าปลีกกำลังเผชิญกับยอดขายที่ชะลอตัว หลังจากเกิดโรคระบาด แต่การบริโภคสินค้าครัวเรือน ของใช้ภายในบ้าน สำหรับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น สบู่และน้ำยาฆ่าเชื้อ เทียน และน้ำหอมปรับอากาศในบ้าน ก็กลับมาช่วยเพิ่มยอดขายได้ดี”
Boswell กล่าวว่า สินค้าของผู้ชายและการซักรีดกลับมาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
“เราค่อนข้างตื่นเต้นกับการเติบโตของตลาดและโอกาสของกลุ่มผู้ชาย และคาดว่าจะเติบโตขึ้นเป็นเลขสองหลักในไม่ช้า” Boswell กล่าว
ทั้งนี้ ซีอีโอ Gina Boswell นั้นเธอมีประสบการณ์ในแวดวงความงามมานานถึง 30 ปี โดยเธอดูสินค้าให้กับบริษัทระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Unilever, Alberto Culver Company และ The Estée Lauder Companies
อ้างอิง: