อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดในรอบ 16 ปี กดตลาดหุ้นทั่วโลกทรุดตัวลง เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังไม่มั่นคงและอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 0.07 จุด มาอยู่ที่ 4.91% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2007 ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี เพิ่มขึ้น 0.06 จุด สู่ 5.01% ในวันพุธที่ผ่านมา (18 ตุลาคม)
ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P 500 ลดลง 1.3% และดัชนี Nasdaq Composite หดลง 1.6% ด้านหุ้นยุโรป ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1%
ความเคลื่อนไหวในบรรดาตลาดหุ้นเป็นสัญญาณว่า ความปั่นป่วนของตลาดตราสารหนี้ในเดือนที่แล้วยังคงดำเนินต่อไป และเกิดขึ้นหลังจากที่ข้อมูลในวันอังคารที่ผ่านมา (17 ตุลาคม) ซึ่งปรากฏยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ในเดือนกันยายนที่แข็งแกร่งกว่าที่ตลาดคาดไว้
นอกจากนี้ตลาดหุ้นยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากเหตุการณ์ระเบิดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในฉนวนกาซา ซึ่งอาจเป็นบ่อนทำลายความพยายามทางการทูตในการลดความรุนแรงของสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาส
ความกังวลดังกล่าวทำให้นักลงทุนเริ่มหันไปหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เช่น ทองคำ ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.2% สู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม และเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ
ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดเมื่อเร็วๆ นี้ได้บั่นทอนความเห็นจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หลายคนที่ได้เคยเสนอแนะว่า แนวโน้มนโยบายทางการเงินกำลังค่อยๆ เปลี่ยนจากการทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นการทำให้อัตราดอกเบี้ยคงที่ให้ได้นานที่สุด
นอกจากนี้ความเสี่ยงจากการขาดดุลในงบประมาณประจำปีของรัฐบาลสหรัฐฯ เกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการตัดสินใจของ Fitch Ratings เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ในการปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐฯ แรงกดดันจึงอยู่กับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
JPMorgan แนะนำลูกค้าว่า Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยต่อสู่ระดับอย่างน้อย 6% เพื่อทำให้ตลาดแรงงานเย็นลงอย่างพอดีและเป็นการลดการใช้จ่ายของผู้บริโภค
“การประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤศจิกายนจะกลายเป็นความเจ็บปวดอย่างมาก ปัจจุบันเรายังไม่เห็นการรับมือหรือป้องกันในหมู่ลูกค้าสำหรับความเสี่ยงจากสถานการณ์นี้” JPMorgan ระบุ
อ้างอิง: