วิกฤตการขาดสภาพคล่องของธนาคารระดับภูมิภาคในสหรัฐฯ ดูเหมือนจะยังไม่คลี่คลายง่ายๆ หลังจากที่นักลงทุนในวอลล์สตรีทเริ่มคลายความกังวลได้เพียง 1 วัน หลังจากที่ First Republic Bank ได้รับการช่วยเหลือจากการเข้ามาซื้อของ JPMorgan Chase & Co. หลังจากนั้นธนาคารขนาดกลางอื่นๆ ในสหรัฐฯ ต่างเผชิญกับแรงกดดันในเรื่องของสภาพคล่องตามมา พร้อมกับแรงเทขายที่เกิดขึ้นกับหุ้นธนาคารทั้งอุตสาหกรรม
ธนาคารสองแห่งที่ถูกเทขายอย่างหนักเมื่อวานนี้คือ PacWest Bancorp -28% และ Western Alliance Bancorp -15% กดดันให้ดัชนี S&P 500 ดิ่งลงเกือบ 2% ในขณะที่กองทุน ETF อย่าง SPDR S&P Regional Bank ETF (KRE) ซึ่งถือหุ้นธนาคาร 144 บริษัทในพอร์ตการลงทุน ปรากฏว่าหุ้นทั้งหมดในพอร์ตปรับตัวลดลงทั้งหมด ทำให้ราคาหน่วยลงทุนติดลบไป 6.3%
Ed Moya นักวิเคราะห์อาวุโสของ OANDA กล่าวว่า “นักลงทุนต่างเทขายกันอย่างหนักหลังจากที่ปัญหาภาคธนาคารดูเหมือนจะยังไม่จบลงง่ายๆ นักลงทุนไม่อยากรับความเสี่ยงท่ามกลางวิกฤตธนาคารที่ยังคลุมเครือ ความเสี่ยง Recession ที่เพิ่มขึ้น และความเสี่ยงที่สหรัฐฯ อาจผิดนัดชำระหนี้ในเดือนหน้า”
ทั้งนี้ First Republic Bank ถือเป็นธนาคารที่ 4 ที่ประสบปัญหาต่อจาก Silicon Valley Bank, Signature Bank ในสหรัฐฯ และธนาคารยักษ์ใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์อย่าง Credit Suisse
อย่างไรก็ตาม ในมุมของ Jamie Dimon ซีอีโอของ JPMorgan มองว่า วิกฤตธนาคารระดับภูมิภาคในสหรัฐฯ ได้จบลงแล้วในเบื้องต้น แม้ว่าอาจจะมีปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกเล็กน้อย แต่ปัญหาเหล่านี้จะถูกแก้ได้ทั้งหมด
ทั้งนี้ First Republic Bank รายงานตัวเลขเงินฝากที่ลดลง 40% ในช่วงไตรมาสแรก เช่นเดียวกับธนาคารระดับภูมิภาคอื่นๆ ที่รายงานการลดลงของเงินฝากเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ธนาคารอย่าง PacWest รายงานการฟื้นตัวของเงินฝากในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
David Konrad นักกลยุทธ์ของ KBW ระบุว่า “เราเชื่อว่าธนาคารที่มีสินทรัพย์มากกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ และต่ำกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ จะเป็นผู้ชนะภายใต้ระเบียบโลกใหม่ แต่จะไม่มีพื้นที่สำหรับผู้ที่อยู่ตรงกลาง คือมีสินทรัพย์ระหว่าง 8 หมื่นถึง 1.2 แสนล้านดอลลาร์ เนื่องจากธนาคารในกลุ่มนี้อาจต้องลดขนาดลงเพื่อหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์ใหม่ หรืออาจต้องควบรวมกิจการเพื่อรองรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากกฎเกณฑ์ใหม่
อีกประเด็นหนึ่งสำหรับธนาคารระดับภูมิภาคคือความเป็นไปได้ของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed เพิ่มเติม ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้ธนาคารมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นในการถือครองเงินฝาก ขณะเดียวกันก็ทำให้มูลค่าตลาดของพันธบัตรระยะยาว และมูลค่าของเงินกู้ยืมในบัญชีลดลง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- สตาร์ทอัพเครียด! อาจจ่ายเงินให้กับพนักงานไม่ได้ เหตุ Silicon Valley Bank ถูกสั่งปิด หลังกลายเป็นแบงก์ที่ล้มหนักสุด ตั้งแต่ปี 2008
- ‘Silicon Valley Bank’ ประสบเหตุ Bank Run และถูกสั่งปิดชั่วคราว พร้อมหาคำตอบว่าวิกฤตนี้จะลุกลามแค่ไหน?
- สิ้นยุคเทคสหรัฐ? กระแสเลย์ออฟใน ‘Silicon Valley’ มีทิศทางเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ
อ้างอิง: