The Whale การกลับมาบนจอเงินอย่างสมศักดิ์ศรีของ Brendan Fraser

The Whale เหงา เท่า วาฬ ภาพยนตร์ดราม่าเรื่องล่าสุดจากค่าย A24 ภายใต้การกำกับของ Darren Aronofsky ที่นำละครเวทีในชื่อเดียวกันของนักเขียน Samuel D. Hunter มาดัดแปลงเป็นฉบับภาพยนตร์ อีกทั้งยังเป็นผลงานคัมแบ็กครั้งสำคัญของ Brendan Fraser นักแสดงชื่อดังแห่งยุค 90 ที่นักวิจารณ์หลายสำนักต่างชื่นชมในการแสดงอันยอดเยี่ยมของเขา จนส่งให้ชื่อของเขาได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของ Charlie (Brendan Fraser) อาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่ต้องสูญเสียคนรักไปกะทันหันและส่งผลต่อสภาพจิตใจของเขาอย่างหนัก จนทำให้เขาป่วยเป็นโรคอ้วนขั้นวิกฤต ที่ต้องแบกรับน้ำหนักตัวมากถึง 600 ปอนด์ วันหนึ่งเขาได้มีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตร่วมกับ Ellie (Sadie Sink) ลูกสาวของตัวเองอีกครั้ง Charlie จึงตั้งใจที่จะดูแลลูกสาวของตัวเองและแก้ไขความผิดพลาดในอดีตให้ดีที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เวลาของเขาจะหมดลง

นอกจากพล็อตเรื่องที่น่าสนใจแล้ว หนึ่งสิ่งที่ทำให้หลายคนจับตามองภาพยนตร์เรื่องนี้เห็นจะเป็นการกลับมารับบทนำบนจอเงินอีกครั้งของ Brendan Fraser ที่นักวิจารณ์หลายสำนักต่างชื่นชมเป็นเสียงเดียวกัน หลังจากที่เจ้าตัวต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตมากมาย ทั้งการถูกล่วงละเมิดทางเพศ อาการป่วยเป็นโรคซึมเศร้า รวมถึงปัญหาครอบครัวจนทำให้เขาหายหน้าจากวงการไปนานหลายปี

ซึ่งเราขอเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ยืนยันว่า Brendan Fraser สามารถถ่ายทอดทุกห้วงความรู้สึกของตัวละครออกมาให้ผู้ชมสัมผัสได้อย่างลึกถึงแก่นจริงๆ ทั้งความโดดเดี่ยว ความเจ็บปวดกับโรคภัยที่กำลังเผชิญ การแบกรับความสูญเสียที่เกิดขึ้นในอดีต ไปจนถึงความรู้สึกผิดที่ตนเองกลายเป็นภาระของผู้คนรอบข้าง ซึ่งทำให้เรารู้สึกยินดีมากๆ ที่ได้เห็นเขากลับมาเฉิดฉายบนจอภาพยนตร์อีกครั้ง และแอบเชียร์ให้เขาได้รับรางวัลออสการ์ในปีนี้ไปครองจริงๆ

อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญข้อหนึ่งที่ส่งให้ตัวละคร Charlie เป็นตัวละครที่มีมิติอันซับซ้อน นั่นคือตัวบทภาพยนตร์ที่ชวนให้ผู้ชมตั้งคำถามต่อประเด็นต่างๆ ที่ภาพยนตร์พยายามนำเสนอ ประการแรกที่มองเห็นเด่นชัดมากๆ คือการตัดสิน ‘คุณค่า’ ของใครสักคนหนึ่งจากภาพลักษณ์ภายนอก รวมถึง ‘ความจริงใจ’ ที่เรามอบให้กับผู้อื่นนั้นเป็นความจริงใจแค่ไหน หรือความจริงใจเหล่านั้นเป็นเพียงการทำเพื่อให้ได้รับบางสิ่งหรือเพื่อการเติมเต็มบางสิ่งให้กับตัวเราเองกันแน่

อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกสอดแทรกเข้ามาได้อย่างแนบเนียน นั่นคือความเชื่อทางศาสนาที่ผู้กำกับชวนเราตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาถึงความถูกต้องเหมาะสมของความเชื่อบางประการที่ ‘สุดโต่ง’ จนอาจสร้างบาดแผลและตีตราว่าผู้คนบางกลุ่มเป็นคนที่ผิดแปลกไปจากคนอื่นๆ อีกทั้งยังพยายามจะโน้มน้าวแก้ไขผู้คนเหล่านั้น โดยไม่แม้แต่จะพยายามทำความเข้าใจตัวตนของพวกเขาอย่าง ‘จริงใจ’ แม้แต่น้อย

ซึ่งตัวภาพยนตร์พาผู้ชมเข้าไปสำรวจประเด็นเหล่านั้นผ่านสายตาของทุกตัวละครที่อยู่ล้อมรอบตัวละครหลักอย่าง Charlie ในแง่มุมที่แตกต่างกันไป ทั้ง Liz (Hong Chau) พยาบาลที่คอยช่วยเหลือ Charlie อย่าง ‘จริงใจ’ แม้บางครั้งเธอจะดุแรงใส่เขาบ้างก็ตาม, Ellie (Sadie Sink) ลูกสาวของ Charlie ที่ภายนอกดูร้ายกาจแต่ภายในกลับมีความฉลาดหลักแหลม หรือ Thomas (Ty Simpkins) เด็กหนุ่มผู้เชื่อมั่นในศาสนา ที่ได้โคจรมาพบกับ Charlie ซึ่งนักแสดงทุกคนต่างทำหน้าที่ถ่ายทอดมุมมองความคิดและมวลความรู้สึกของตัวละครออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีใครที่โดดเด่นมากน้อยไปกว่ากัน

นอกเหนือจากการแสดงอันยอดเยี่ยมและเนื้อเรื่องที่หนักแน่นแล้ว จุดเด่นอีกข้อที่เราชื่นชอบเป็นการส่วนตัว คือดนตรีประกอบจากฝีมือของ Rob Simonsen (Ghostbusters: Afterlife, The Adam Project) ที่ช่วยเสริมให้บรรยากาศของเรื่องโดดเด่นมากขึ้น โดยเฉพาะการบีบคั้นอารมณ์ให้เราสัมผัสกับความตึงเครียดและเจ็บปวดที่ตัวละครกำลังเผชิญ จนทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ในห้องของ Charlie ด้วยจริงๆ

ในภาพรวมแล้ว The Whale คือผลงานการคัมแบ็กของ Brendan Fraser ที่ยอดเยี่ยมสมคำร่ำลืออย่างแท้จริง นอกเหนือจากนั้นนักแสดงสมทบคนอื่นๆ ต่างก็ถ่ายทอดมวลอารมณ์ของตัวละครออกมาได้มีมิติไม่แพ้กัน รวมถึงประเด็นสำคัญของเรื่องที่ผู้กำกับชวนเรามาร่วมตั้งคำถามและขบคิด ผ่านกลวิธีนำเสนอที่เรียบนิ่ง แต่หนักแน่นในทุกองค์ประกอบ

The Whale มีกำหนดเข้าฉาย 16 กุมภาพันธ์นี้ ในโรงภาพยนตร์

รับชมตัวอย่างได้ที่: