×

“ซื้อตอนนี้อาจสายไปแล้ว” Lombard Odier มอง ‘หุ้นจีน’ เริ่มแพง แนะเบนเข็มหาหุ้นญี่ปุ่นและตราสารหนี้

08.02.2023
  • LOADING...
Lombard Odier

ช่วงต้นปี 2023 ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างปรับตัวขึ้น จากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางหลายแห่งเตรียมทยอยลดการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่การกลับมาเปิดประเทศของจีนได้กระตุ้นให้หุ้นจีนพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง จนนำไปสู่คำถามที่ว่า ‘หุ้นจีน’ ยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่ 

 

ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงปรับตัวขึ้นมากกว่า 50% นับตั้งแต่จุดตํ่าสุดของปี 2022 ในเดือนตุลาคม สะท้อนปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศของจีนและการบริโภคที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลตรุษจีน นับเป็นการเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นที่ติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2020 ก่อนที่จะเกิดวิกฤตโควิด


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


Homin Lee, Asia Macro Strategist ของ Lombard Odier (Hong Kong) มองว่า จากการเริ่มเปิดประเทศของจีนในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจในไตรมาสแรกจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวมากขึ้น ขณะที่ธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายลง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง 

 

นอกจากนี้ Lee ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วจากราคาพลังงานที่ปรับตัวลง อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อที่มาจากภาคบริการยังไม่คลี่คลายและค่าจ้างแรงงานยังอยู่ในระดับสูง ดังนั้นอัตราการว่างงานจึงต้องสูงกว่านี้เพื่อดึงให้เงินเฟ้อลดลง โดยคาดว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาสแรก และจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้อยู่ระยะหนึ่ง

 

ด้าน Stephane Monier, Group Managing Director ของ Banque Lombard Odier คาดการณ์ว่า หุ้นจีนโดยเฉพาะดัชนี Hang Seng ได้ปรับตัวขึ้นมาราว 2 ใน 3 ของระดับที่ประเมินไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม ยังคงแนะนำให้ ‘ถือ’ โดยมองเป็น Tactical Call และต้องประเมินสถานการณ์ต่อไป

 

“แม้มูลค่าหุ้นจีนในปัจจุบันจะอยู่ในระดับแพงแล้ว แต่ต้องรอดูผลประกอบการของบริษัทในจีนที่จะส่งผลต่อมูลค่าของบรรดาหุ้นจีน ซึ่งต้องประเมินว่าการเปิดประเทศของจีนจะส่งผลต่อกำไรของบริษัทอย่างไร ภายในระยะเวลา 2-3 เดือนต่อจากนี้

 

“ตอนนี้อาจสายเกินไปแล้วที่จะลงทุนในหุ้นจีน” สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่ได้เข้าซื้อหุ้นจีนตั้งแต่ก่อนหน้านี้ Monier กล่าว

 

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ยังสนใจหุ้นจีนอาจเลือกลงทุนหุ้นจีนในประเทศหรือ A-Shares มากกว่า เนื่องจากราคาหุ้นยังไม่ปรับตัวสูงมากนักเมื่อเทียบกับตลาดฮ่องกงที่เป็น H-Shares หรือสหรัฐฯ ที่เป็น ADR 

 

Monier มองว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่น่าลงทุนในเวลานี้ หลังจากปีที่แล้วอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 4% แต่ในปีนี้มีการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะลดลงเหลือ 2.5% ในขณะที่ค่าจ้างมีแนวโน้มขึ้น 4% ซึ่งโดยปกติแล้วค่าจ้างของญี่ปุ่นจะล้อตามอัตราเงินเฟ้อ ด้วยปัจจัยดังกล่าวจึงกระตุ้นให้เกิดการบริโภคในประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่มขนาดเล็ก-กลางของญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมองค่าเงินเยนจะกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง หลังเตรียมเปลี่ยนผู้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นคนใหม่ 

 

อินเดียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าลงทุน โดยได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน แต่ยังติดปัญหามูลค่าหุ้นที่แพงเกินไปในขณะนี้ แต่เชื่อว่าจะเป็นตลาดที่น่าลงทุนในระยะ 10 ปีต่อจากนี้

 

ปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอของ Lombard Odier ได้เปลี่ยนจาก ‘Defensive’ เป็น ‘Neutral’ ต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก โดยให้นํ้าหนัก Underweight กับเงินสด เงินดอลลาร์ และเงินหยวน ให้นํ้าหนัก Neutral กับหุ้นทั่วโลก และให้นํ้าหนัก Overweight กับตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และตราสารหนี้กลุ่มระดับน่าลงทุน (Investment Grade) เงินเยนญี่ปุ่น เงินเรียลบราซิล และสินทรัพย์ทางเลือกอื่น เช่น เฮดจ์ฟันด์ 

 

ด้วยระดับเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มลดลงและการเปิดประเทศของจีน อาจทำให้กระแสเศรษฐกิจถดถอยดูเบาบางลง แต่ Monier มองว่าโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยโดยเฉพาะในสหรัฐฯ ยังมีความเป็นไปได้อยู่ ด้วยระดับเงินเฟ้อที่ยังคงต้องจับตามอง พร้อมเชื่อว่าในเดือนมีนาคมนี้ Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ส่วนการประชุมเดือนพฤษภาคมยังไม่แน่ชัด โดยท้ายที่สุดแล้วภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ มีโอกาสจะเป็นได้ทั้งแบบ ‘Mild Recession’ หรือ ‘Soft Landing’

 

มองหุ้นไทยรับอานิสงส์จีนเปิดประเทศ

ส่วนประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดประเทศของจีน จากรายได้ของนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาที่ประเทศไทย ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่สมดุลอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ยังคงความกังวลถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะส่งผลต่อภาคการส่งออกที่ถือเป็นภาคอุตสาหกรรมสำคัญของไทย 

 

โดย KBank Private Banking ประเมิน GDP ไทยโตอีก 3-4% ในปี 2023 พร้อมคาดว่าดัชนี SET มีโอกาสจะขึ้นไปแตะระดับ 1,780 จุด โดยกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจคือกลุ่มที่อิงกับการท่องเที่ยวและภาคอสังหาริมทรัพย์ หนุนจากการเปิดประเทศของจีน รวมทั้งกลุ่มสถาบันการเงินที่ได้ลงทุนในพันธบัตรระยะยาวไว้ก่อนหน้านี้ 

 

ส่วนความกังวลที่ว่าการเปิดประเทศของจีน แม้จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวแต่อาจต้องแลกกับระดับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ความกังวลต่อเศรษฐกิจถดถอยอีกครั้ง หากธนาคารกลางต่างปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่าที่คาดการณ์นั้น 

 

ศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director ของ Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า การเปิดประเทศของจีนอาจกระตุ้นระดับเงินเฟ้อทั่วโลกไม่มากนัก เนื่องจากระดับเงินเฟ้อในปัจจุบันอยู่ในช่วงขาลง โดยเงินเฟ้อในปัจจุบันส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการ ซึ่งการเปิดประเทศของจีนไม่ได้กระทบต่อค่าแรงมากนัก 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising