จากรายงานเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้เริ่มดึงสภาพคล่องออกจากระบบ ซึ่งตัวเลขก่อนหน้านี้อยู่ที่ 4.3 แสนล้านดอลลาร์ ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีรายงานการขายพันธบัตรกลับคืนสู่ตลาดเพิ่มเติม (Reverse Repo) คิดเป็นมูลค่าถึง 4.853 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นมูลค่าสูงสุดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทั้งนี้สถิติสูงสุดเดิมที่เคยเกิดขึ้นต้องย้อนกลับไปเมื่อ 31 ธันวาคม 2015 ซึ่งมีมูลค่าธุรกรรม 4.746 แสนล้านดอลลาร์
แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจากการซื้อพันธบัตรจาก Fed ในเวลานี้จะอยู่ที่ 0% แต่ยังคงมีความต้องการดังกล่าว เนื่องจากสภาพคล่องที่เอ่อล้นอยู่ในตลาดการเงิน ขณะเดียวกันนักลงทุนก็ไม่มีทางเลือกอื่นมากนักในระยะสั้น จากความเสี่ยงที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรในบางช่วงเวลาอาจลดลงไปติดลบ ทำให้อัตราผลตอบแทน 0% ก็อาจจะไม่ได้แย่จนเกินไปนัก
การทำ Reverse Repo ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ตลาดเริ่มพูดถึงโอกาสที่ Fed จะเริ่มลดวงเงินอัดฉีดสภาพคล่องลง ทั้งในส่วนของวิธีการและช่วงเวลาที่จะเกิดขึ้น
Subadra Rajappa หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ด้านอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ของ Societe Generale มองว่า 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนภาพที่ค่อนข้างชัดเจนว่าสภาพคล่องส่วนเกินในระบบเพิ่มขึ้นไปถึงจุดที่มากเกินความจำเป็นแล้ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับ Fed ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ขณะเดียวกันฝั่งของหุ้นกู้เอกชนของบรรดาบริษัทที่น่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ร่วงลงทำจุดต่ำสุดในรอบ 14 ปี ด้วยระดับ 0.84% หรือต่ำสุดนับแต่ปี 2007 หลังจากที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นบนเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมาเปิดอีกครั้ง
ด้วยอัตราผลตอบแทนที่ต่ำมากทำให้ผู้ซื้อหุ้นกู้ไม่ได้สนใจจะเข้าลงทุนเพิ่ม ขณะเดียวกันก็มีแรงขายออกมากว่า 1.36 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: