ตลาดหุ้นต่างๆ ปรับตัวขึ้นจากเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง และสุดท้ายแล้วฝั่งสหรัฐฯ มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ได้ทันก่อนมาตรการเดิมจะสิ้นสุดลง
ขณะที่เงินเฟ้อสหรัฐฯ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ไม่ได้สูงมาก ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ชะลอตัว ทำให้ตลาดคลายกังวล และตลาดหุ้นไทย เคลื่อนไหวโดดเด่น โดยขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 13 เดือน และเคลื่อนไหว Outperform ดัชนี MSCI Asia ex Japan รวมถึงฟื้นตัวกลับมาระดับก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 แล้ว จากปัจจัยหนุนเรื่องการเปิดเมือง รวมถึงกลุ่มน้ำมันได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นปัจจัยหนุนตลาด
ทั้งนี้ ในภาพรวม ผมมองว่า SET ยังปรับขึ้นได้ต่อ และคาดว่าในเดือนเมษายนจะเป็นเดือนที่ SET ขึ้นมาเคลื่อนไหวเหนือระดับ 1600 จุดได้ โดยมองแนวต้านเป้าหมายอยู่ที่ 1620 และ 1640 จุด ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ต้องระวังในเดือนพฤษภาคมที่ในปีนี้มองว่ามีโอกาสเกิด Sell in May ได้ค่อนข้างมาก เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และยังไม่ได้เกิดการปรับฐานเลย ซึ่ง SET เองก็เช่นเดียวกัน
ผมมองว่าในเดือนพฤษภาคมตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะเกิดการปรับฐาน ดังนั้น จะเห็นว่าระดับ SET ปัจจุบัน แม้ขึ้นได้ต่อ แต่ระยะทางในการขึ้นก็มีอีกไม่มาก ทำให้การเลือกซื้อหุ้นจากนี้ ผมแนะนำไปที่กลุ่มหุ้นที่ยัง Laggard หรือราคาหุ้นยังปรับขึ้นช้ากว่า SET โดยคาดว่ายังมี Upside พอที่จะสามารถซื้อแล้วให้ผลตอบแทนที่ดี เพื่อรอขายทำกำไรก่อนที่ตลาดจะเกิดการปรับฐานในเดือนพฤาภาคมที่ผมคาดการณ์
โดยกลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ ซึ่งราคาหุ้นบางตัวในกลุ่มนี้ ยังปรับขึ้นมาไม่ถึงก่อนการระบาดของโควิด-19 ในขณะที่ SET ปรับตัวขึ้นมาถึงแล้ว ทั้งนี้ แม้คาดว่าในไตรมาสแรกปี 2564 ยอดขายสาขาเดิม (SSS) ของกลุ่มพาณิชย์น่าจะหดตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) ใกล้เคียงกับ -11% YoY ในไตรมาส 4 ปี 2563
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2 ปี 2564 เราคาดว่า SSS ของกลุ่มพาณิชย์จะกลับมาเติบโต YoY เป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี โดยได้รับการสนับสนุนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ค่อยๆ กลับคืนมา และฐานต่ำในไตรมาส 2 ปี 2563 เมื่อประเทศไทยอยู่ในช่วงล็อกดาวน์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19
ส่วนภาพรวมในปี 2564 คาดว่า SSS จะกลับมาเติบโต 3.9% YoY จากระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ -10.7% YoY ในปี 2563 โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่
1) คาดว่าการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนของประเทศไทยจะกลับมาเติบโต 3.7% YoY ในปี 2564 (เทียบกับ -1.0% YoY ในปี 2563) จากอุปสงค์ที่ถูกอั้นไว้กลับคืนมาหลังสถานการณ์โควิด-19 และมาตรการกระตุ้นของรัฐบาล
2) รายได้เกษตรกรกลับมาเติบโต YoY เป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน จากราคาสินค้าเกษตรและผลผลิตที่เพิ่มขึ้น และ
3) คาดว่าการแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 จะมีความคืบหน้ามากขึ้น โดย SCB EIC ประเมินว่าประเทศไทยจะฉีดวัคซีนโควิด-19 ครอบคลุมประชากรครึ่งหนึ่งของทั้งหมดภายในสิ้นปี 2564 และจะครอบคลุมประชากร 60-70% (สร้างภูมิคุ้มกันหมู่สำเร็จ) ภายในไตรมาสแรกปี 2565 และเมื่อมีการแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ได้มากขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจก็จะฟื้นตัวดีขึ้น
ด้านกำไรของกลุ่มพาณิชย์คาดจะกลับมาเติบโต 28% YoY (เทียบกับ -36% YoY ในปี 2563) ส่วนหุ้นที่น่าสนใจในกลุ่ม ผมแนะนำ 3 ตัว ได้แก่ GLOBAL เนื่องจาก SSS ในไตรมาสแรกปี 2564 เติบโตดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ และกำไรไตรมาสแรกปี 2564 มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งที่สุด และ HMPRO รวมถึง CPALL ซึ่งราคาหุ้นยัง Laggard
โดยราคาหุ้นก่อนเกิดโควิด-19 ของ HMPRO เคลื่อนไหวอยู่ที่บริเวณ 16.00-17.00 บาท เทียบกับราคาปัจจุบันที่เคลื่อนไหวอยู่ที่บริเวณ 14.00-15.00 บาท และ CPALL ราคาหุ้นก่อนเกิดโควิด-19 เคลื่อนไหวอยู่ที่บริเวณ 75.00-76.00 บาท เทียบกับราคาปัจจุบันที่เคลื่อนไหวอยู่ที่บริเวณ 67.00-68.00 บาท
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์