แม้ปี 2563 ที่ผ่านมา ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 อยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังมีหลายธุรกิจซึ่งในปีที่ผ่านมาสามารถเติบโตสวนกระแส หนึ่งในนั้นคือ ‘อมาโด้’
ในปีที่ผ่านมา ‘อมาโด้’ สามารถทำยอดขายได้อย่างแข็งแกร่งด้วยตัวเลข 2,298 ล้านบาท เติบโต 231.14% เรียกว่ามากกว่าตลาดรวมวิตามินและอาหารเสริม ซึ่ง Euromonitor International ระบุว่ามีมูลค่า 22,621 ล้านบาท และเติบโตเพียง 8.5% เท่านั้น
“การเติบโตของเราที่มากกว่าตลาดนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราได้เข้าไปกินส่วนแบ่งของแบรนด์อื่นๆ ซึ่งวันนี้อมาโด้ได้กลายเป็น Top 5 ในตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” ธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์อมาโด้ (Amado) กล่าว
ธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด
ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์อมาโด้ (Amado)
3 กลยุทธ์นำพาสู่เบอร์หนึ่งภายใน 3 ปี
เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตของธนาตรัยฉัตรคือการนำ ‘อมาโด้’ ให้ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใน 3 ปี ดังนั้นจากความสำเร็จที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ทำให้อมาโด้วางกลยุทธ์สานต่อความสำเร็จให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในปี 2564 ด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่
1. กลยุทธ์นำแบรนด์อมาโด้ก้าวสู่แบรนด์อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค โดยกำหนดคำมั่นสัญญา (Brand Promise) เป็น ‘We Live For Your Health’ ให้ตลาดและผู้บริโภคจดจำอมาโด้ว่าเป็นผู้ผลิตวิตามินอาหารเสริมที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน เป็นเกราะป้องกันสุขภาพของคนไทย ด้วยการรีแบรนด์และรีแพ็กเกจใหม่ทั้งหมด
2. กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพตอบสนองความต้องการตลาดด้วยทีม Research & Development มีผู้ชำนาญการคอยคิดค้นสูตรผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง และมีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกไตรมาส โดยผลิตภัณฑ์ตัวแรกของปีนี้เป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มโปรไบโอติกเกรดพรีเมียมเพื่อตีตลาดสุขภาพ
3. กลยุทธ์เดินหน้าสร้างช่องทางขายที่หลากหลายและทรงประสิทธิภาพ ตอบสนองทันทีทันใด (Real-time Strategic Platform) ด้วยความสามารถในการมองหาช่องทางขายที่ทรงประสิทธิภาพให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างมีศักยภาพ โดยมีแผนเพิ่มร้านอมาโด้ใหม่อีก 56 สาขา รวมเป็น 100 สาขา เพิ่มตัวแทนขายอีก 25 ราย รวมกับตัวแทนปัจจุบันเป็น 50 ราย
แตกไลน์ธุรกิจใหม่สู่ Amado Shopping
กลยุทธ์ที่น่าสนใจที่สุดของอมาโด้ในปี 2564 คือการแตกไลน์ธุรกิจใหม่ หรือ New Business Model ด้วยการบุก ‘ตลาดทีวีโฮมช้อปปิ้ง’ หลังจากในปีที่ผ่านมาอมาโด้ได้เริ่มทดลองตลาดและประสบความสำเร็จด้วยยอดขาย 900 ล้านบาท กินส่วนแบ่ง 5% ในตลาดมูลค่า 18,000 ล้านบาท
ความสำเร็จในทีวีโฮมช้อปปิ้งของอมาโด้เกิดจากการนำจุดแข็งด้านความสามารถ คัดสรรช่วงเวลาที่ดีและมีประสิทธิภาพมากที่สุดของสถานีโทรทัศน์ชั้นนำในประเทศ มาผนวกเข้ากับ Data Driven Marketing เครื่องมือทางการตลาดที่ทรงประสิทธิภาพในการนำเสนอสินค้าและโปรโมชันตรงกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง สามารถเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นถึง 2 เท่า
ธนาตรัยฉัตรขยายความว่า โมเดลธุรกิจใหม่ดังกล่าวเกิดจากการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ หลังจากเดินหน้าทำการตลาดผ่านช่องทางเทเลเซลส์ด้วยการนำสินค้าไปโปรโมตขายตามรายการต่างๆ ของสถานีโทรทัศน์ชั้นนำ นับเป็นการต่อยอดช่องทางการขายสู่ธุรกิจใหม่และนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าธุรกิจ ผนวกกับตลาดทีวีโฮมช้อปปิ้งยังมีมูลค่าการเติบโตที่น่าจับตา โดยเฉพาะยุคโควิด-19 ประกอบกับผู้บริโภคมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปในโลกดิจิทัล ผู้คนดูทีวีออนไลน์ย้อนหลังมากขึ้น
“โมเดลธุรกิจใหม่ของอมาโด้ถือเป็นการนำจุดแข็งของอมาโด้มาสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับธุรกิจใหม่มากยิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าเป็น Big Data ที่เป็นขุมทรัพย์สำคัญของธุรกิจ ผนวกกับศักยภาพของอมาโด้ในการทำ Data Driven Marketing สู่การเพิ่มมูลค่ามหาศาลให้กับธุรกิจอย่างต่อเนื่องอีกด้วย”
7 จุดแข็งของ Amado Shopping
อย่างไรก็ตาม Amado Shopping ไม่ได้เป็นเพียงช่องทางสำหรับจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของอมาโด้เท่านั้น แต่ยังเปิดรับพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจที่ต้องการนำสินค้ามาจัดจำหน่ายผ่านทาง Amado Shopping ด้วยเช่นกัน โดยตัว Amado Shopping มีจุดเด่น 7 ข้อคือ
1. มีทีมเทเลเซลส์รับสายพร้อมปิดการขาย 200 คน
2. มีบริการส่งสินค้าที่รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ภายใต้การบริการของอมาโด้เอง สามารถส่งของได้ภายใน 48 ชั่วโมง
3. มีคลังสินค้าที่สามารถจัดเก็บสินค้าขนาดใหญ่ 3 ไร่ครึ่ง และคาดการณ์ว่าจะขยายเป็น 6 ไร่ในอนาคต มีความสามารถในการจัดเก็บและบริหารสต๊อกสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ
4. มีช่วงเวลาการออกอากาศ (เรตติ้ง) ที่ดีและมีประสิทธิภาพของแต่ละช่องรวมมากกว่า 3,000 ออนแอร์แบบไทอินผ่านช่องต่างๆ ทั้งไทยรัฐทีวี, one31, อมรินทร์ทีวี, โมโน, ช่อง 3, ช่อง 9, เวิร์คพอยท์ และเนชั่นทีวี
5. GP ต่ำกว่าตลาดเพียง 25% ซึ่งปกติแล้ว GP ทั่วไปจะอยู่ที่ 40-65%
6. มีฐานข้อมูลลูกค้า (Data Driven) และเข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย ช่วยให้สามารถจัดโปรโมชันและสินค้าแบบเจาะลึกได้ตรงกลุ่มเป้าหมายในแต่ละช่อง แต่ละรายการ สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า
7. สามารถตรวจสอบยอดขายและคำนวณ ROI ได้แบบเรียลไทม์
“ในปีนี้อมาโด้ตั้งเป้ารายได้จาก Amado Shopping ถึง 1,000 ล้านบาท และก้าวขึ้นเป็น Top 10 ของตลาดทีวีโฮมช้อปปิ้งในประเทศให้ได้ภายใน 3 ปี” แม่ทัพอมาโด้ประกาศถึงเป้าหมายสำหรับ Amado Shopping
(ขวา) พร้อมวิชญ์ กรณ์อัศวกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน
บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด
วางเป้ารายได้ 3,000 ล้าน พร้อมเป้าหมาย ‘ติดนามสกุลมหาชน’
สำหรับในปี 2564 นั้น พร้อมวิชญ์ กรณ์อัศวกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่าได้วางเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ 3,000 ล้านบาท
ในปีที่ผ่านมาสามารถแบ่งรายได้ตามช่องทางขายต่างๆ ดังนี้ ตัวแทน 49% เทเลเซลส์ 29% ออนไลน์ 16.8% ร้านค้าอมาโด้ 3% โมเดิร์นเทรด 2.2%
โดยลูกค้าเป็นเพศหญิงกว่า 87% และเพศชาย 13% และกลุ่มลูกค้าหลักอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีกำลังซื้อสูงกว่า 51% สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มลูกค้าของอมาโด้เป็นกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูงที่พร้อมเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นตัวช่วยดูแลสุขภาพและความงาม
“ปี 2564 เราคาดว่ารายได้จากธุรกิจใหม่อย่าง Amado Shopping จะกินสัดส่วนอยู่ที่ 35-40% ที่เหลือจะเป็นช่องทางอื่นๆ”
อย่างไรก็ตาม ‘อมาโด้’ วางแผนที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า โดยภายในไตรมาส 2 นี้ได้มีการวางแผนที่จะเพิ่มทุนจดทะเบียนให้เป็น 100 ล้านบาท
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์