ระหว่างตามลุ้นว่าความรักข้ามพรมแดนของ ‘สหายผู้กอง’ รีจองฮยอก และ ‘เจ้าหญิงช่างเลือก’ ยุนเซรี ในซีรีส์ Crash Landing on You ที่กำลังเข้มข้นแบบสุดๆ หลังออกอากาศทาง Netflix มาได้ถึงตอนที่ 8
นอกจากความน่ารัก มีเสน่ห์ และเคมีที่เข้ากันสุดๆ ระหว่างฮยอนบินและซนเยจิน ที่บทจะหวานก็น่ารักจนต้องยิ้มตาม บทจะเศร้าก็ร้าวรานจนน้ำตาไหล เรารู้สึกว่า Crash Landing on You คืออีกหนึ่งซีรีส์ที่ทำหน้าที่ ‘สะท้อน’ ประเด็นหนักๆ ทางสังคมเอาไว้หลายอย่าง โดยมีความโรแมนติกเป็นน้ำหวานฉาบเคลือบ
ซีรีส์อาศัยฉากหลังของประเทศเกาหลีเหนือในฐานะ ‘ดินแดนสมมติ’ ที่ไม่รู้ว่ามีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นที่นั่นจริงๆ หรือเปล่า แต่เราสัมผัสได้ว่าหลายเรื่องคือปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในทุกๆ สังคม
โดยเฉพาะประโยคสั้นๆ ของ ‘นักธุรกิจที่ใส่เครื่องแบบทหาร’ ซึ่งสะท้อนภาพ ‘ดินแดนสมมติ’ ใกล้ๆ ตัวเรานี้ได้อย่างน่าตกใจ
รีจองฮยอก (ฮยอนบิน) สง่างาม ยิ่งใหญ่ แต่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
‘สหายผู้กอง’ ผู้พันแห่งกองร้อยที่ 5 ลูกชายอธิบดีการปกครองผู้ยิ่งใหญ่ ที่พร้อมทั้งความสามารถ ท่าทีสง่างาม และหน้าตาหล่อเหลา ทำให้สาวๆ ในหมู่บ้านมองเขาเป็นเหมือน ‘อนุสรณ์สถานของชาติ’ ที่ต้องรักษา เตรียมเนื้อ เกลือ เครื่องปรุง และอาหารสารพัดชนิดเอาไว้ให้ไม่ขาด
รีจองฮยอกปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ่อนข้อให้กับความอยุติธรรม ราวกับเกิดมาเพื่อเป็น ‘ทหาร’ โดยสมบูรณ์ แต่ที่จริงแล้วเขามีความฝันอีกหนึ่งอย่าง เขาเกิดมาเพื่อเป็น ‘นักเปียโน’ แต่เมื่อเกิดเหตุเศร้ากับพี่ชายที่เสียสละ ตัวเองจึงต้องยอมเป็นทหารตามความต้องการของพ่อ
เขาจึงต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อกลับมารับหน้าที่แทนพี่ชายที่จากไป พร้อมกับบทเรียนสำคัญที่ว่าอย่าคาดหวังกับสิ่งใดในอนาคต เพราะความผิดหวังที่ได้รับนั้นเจ็บปวดเกินกว่าที่จะรับไหว
รีจองฮยอกเคยแต่งเพลงเอาไว้ให้พี่ชาย แต่ไม่มีโอกาสได้เล่นให้ฟังอีกแล้ว
ยุนเซรี (ซนเยจิน) สวย เก่ง สมบูรณ์แบบ แต่ไม่มีที่ให้กลับไปได้อย่างสบายใจ
ซีอีโอแห่งบริษัทแฟชั่นมากความสามารถ มองคนออก อ่านธุรกิจขาด พลิกวิกฤตเป็นโอกาสจากทุกกระแสข่าวด้านลบได้อย่างยอดเยี่ยม
อนาคตของเธอแสนสดใส ได้รับการยอมรับจากพ่อที่เป็นประธานบริษัทใหญ่ให้สืบทอดตำแหน่งแทนพี่ชายทั้งสองคน จนเกิดอุบัติเหตุสภาพอากาศแปรปรวน ทำให้เครื่องร่อนที่เธอเล่นต้องลงจอด ‘ฉุกเฉิน’ ในเกาหลีเหนือ
พื้นที่ลี้ลับที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นอย่างไร พื้นที่แห่งความแตกต่างที่สอนให้เธอได้รู้จักชีวิตอีกรูปแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
พื้นที่ของคนแปลกหน้าที่หลายคนก็หยิบยื่นมิตรภาพและพร้อมปกป้องเธอด้วยชีวิต ผิดกับสถานที่ที่เรียกว่าบ้านแท้ๆ แต่ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะมีคนดีใจหรือเปล่าถ้าเธอกลับไป
ความแตกต่างในดินแดนที่ไม่เคยมีใครไปเยือน
ในหมู่บ้านทหารที่รีจองฮยอกอยู่เต็มไปด้วยเรื่องราวแปลกใหม่ อย่าว่าแต่คนอย่างยุนเซรี เพราะคนดูอย่างเราก็นึกภาพเหล่านี้ไม่ออกเหมือนกัน
ตั้งแต่พลทหารนายหนึ่งที่ตื่นเต้นมากๆ เมื่อเห็นการใช้ ‘ถ่าน’ จุดไฟ เพราะที่บ้านเกิดของเขายังมีแค่เศษไม้และวัชพืชเป็นเชื้อเพลิง หรือแค่การซื้อเนื้อหมู 1 กิโลกรัมที่เราทำกันเป็นเรื่องปกติก็ยังเป็นเรื่องพิเศษ ต้องเป็นวาระสำคัญจริงๆ เท่านั้นจึงจะเกิดขึ้นได้
แม้จะเป็นหมู่บ้านที่มีไฟฟ้าเข้าถึง แต่กำหนดเวลาใช้ ต้องเตรียมเทียนเอาไว้รอบบ้าน ตกกลางคืนหลายบ้านต้องแอบต่อแบตเตอรี่ให้ลูกอ่านหนังสือ ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ต้องถนอมอาหารในถ้ำแทนตู้เย็น และหนึ่งในเรื่องที่ทำให้มีความสุขที่สุดคือการได้กินข้าวนุ่มๆ จากหม้อหุงข้าวพูดได้ ซึ่งมีแค่ไม่กี่บ้านเท่านั้นที่มี
ความชินชาที่น่ากลัว
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือการนำเสนอภาพความไม่ทันสมัยด้วยความเรียบง่ายและปกติ แทบทุกคนไม่ได้มองเรื่องเหล่านั้นเป็นความลำบากทุกข์ยาก หากไฟดับก็จุดเทียน ส่องไฟฉาย นั่งรออยู่เฉยๆ ลิฟต์ค้างก็ช่วยกันง้างประตูออก รถไฟหยุดนิ่งก็นั่งรอ ก่อกองไฟคลายหนาว มีปัญหาก็แก้ไขและปรับตัวกันไป ไม่ต้องโวยวายให้เสียเวลา
บางเรื่องก็ดูน่ารักโรแมนติก แต่หลายเรื่องก็นำมาสู่ผลลัพธ์ที่น่ากลัว เพราะการชินชาต่อความลำบากเหล่านั้นนำไปสู่การยอมรับว่า ‘การขโมย’ เป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่พี่ชายที่วิ่งราวอาหารเพื่อนำไปให้น้องสาวที่กำลังป่วย ไปจนถึงการที่ทุกคนต้องถอดที่ปัดน้ำฝนออกทุกครั้งหลังจอดรถ
เพราะถ้าถูกขโมยขึ้นมาก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ และกลายเป็นความผิดของเจ้าของรถที่ไม่สามารถรักษาทรัพย์สินของตัวเองไว้ได้ ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต้องตามหาคนร้าย ซึ่งคิดไปคิดมาก็คล้ายความคิดกล่าวโทษผู้หญิงแต่งตัวโป๊ว่าเป็นต้นเหตุของการถูกข่มขืนที่เป็นปัญหาของหลายๆ ประเทศอยู่เหมือนกัน
การให้คุณค่าและราคาสิ่งของตามความจำเป็น
เซเลบริตี้แห่งวงการแฟชั่นที่เคยห่อหุ้มร่างกายทุกส่วนด้วยของแบรนด์เนมราคาแพง ยุนเซรีได้เรียนรู้เป็นครั้งแรกว่าสิ่งที่เคยมี ‘ราคา’ มหาศาลอาจไม่มี ‘คุณค่า’ เลยแม้แต่น้อยในพื้นที่ที่ความหรูหราเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ทุกคนมองที่คุณประโยชน์ใช้สอยอย่างเดียวเท่านั้น
ยุนเซรีเอานาฬิกาไฮแฟชั่นราคาประมาณ 90 ล้านวอนที่มีแค่ 5 เรือนในโลกมาจำนำ พร้อมอธิบายคุณสมบัติด้วยความมั่นใจ เธอหวังว่าอย่างน้อยๆ ต้องได้เงิน 1 ใน 4 หรือประมาณ 22 ล้านวอน
แต่สิ่งที่เจ้าของร้านทำมีแค่โยนลงเครื่องชั่งน้ำหนัก บอกว่าน้ำหนักเบา (ยุนเซรีภูมิใจกับเรื่องนี้มาก) แล้วตีราคาให้แค่ 25,000 วอน น้อยกว่าที่คิดเกือบ 1,000 เท่า ในขณะที่เข็มขัดหนังเก่าๆ ยังจำนำได้ 35,000 วอน มากกว่านาฬิกาที่เธอภูมิใจด้วยซ้ำ
หัวใจเราให้คุณค่ากับความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน
นอกจากการตีมูลค่าสิ่งของ เรายังได้เห็นการให้คุณค่าทางความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง รีจองฮยอก นายทหารผู้ยึดมั่นในความจริง แม้อีกฝ่ายจะอยากให้เขาปลอบใจมากเท่าไร แต่เขาก็ยืนยันว่าไม่สามารถให้คำสัญญากับเรื่องที่อาจจะทำให้ไม่ได้
ยุนเซรีเป็นผู้หญิงที่ให้ความสำคัญกับการบอกเลิก ที่แม้จะเป็น ‘คู่หมั้น’ ปลอม แต่ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่องว่าใครเป็นคนบอกเลิก และเลิกกันด้วยเหตุผลอะไร ซึ่งแน่นอนว่ารีจองฮยอกเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ตอนยุนเซรีแจก ‘มินิฮาร์ต’ ให้พลทหารทุกคนแบบไม่คิดอะไร สหายผู้กองจอมนิ่งก็ดันน้อยใจอยู่หลายวัน
รวมทั้งตอนที่ยุนเซรีเล่าเรื่องที่เห็นนาฬิกาผู้ชายราคาแพงในร้านจำนำ รีจองฮยอกก็คิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ทั้งที่ถ้าตั้งใจฟังมากกว่านั้น เขาจะรู้เรื่องนาฬิกาของพี่ชายที่หายไปตั้งแต่ตอนนั้น และอาจจะคลี่คลายเรื่องทั้งหมดได้เร็วกว่านี้
มื้ออาหารของ ‘เจ้าหญิงช่างเลือก’
ตอนอยู่ที่บ้านเกิด ยุนเซรีมีฉายาว่า ‘เจ้าหญิงช่างเลือก’ เพราะเธอจะกินแต่อาหารของเชฟระดับมิชลินสตาร์ และให้โอกาสอาหารจานนั้นแค่ 3 คำ ถ้าไม่ถูกใจ เธอจะเลิกกินทันที
แล้ววันหนึ่งเจ้าหญิงคนนั้นก็กลายเป็นหญิงสาวแต่งชุดบ้านๆ ที่กินข้าวพองจิ้มน้ำตาลติดกัน 5 ชิ้น ซึ่งอาจจะไม่ใช่เพราะรสชาติ แต่เป็นเพราะบรรยากาศแห่งความสบายใจบนโต๊ะอาหารที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อน
เพราะก่อนหน้านี้ ‘โต๊ะอาหาร’ ไม่ต่างอะไรจากโต๊ะเจรจาทางธุรกิจ เธอแทบไม่เคยได้นั่งกินข้าวอย่างมีความสุข ถ้าไม่ใช่การออกเดตกับคนที่พี่ชายบังคับ เธอก็ต้องกลับไปกินอาหารกับครอบครัวที่พร้อมจะทะเลาะกันเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจอยู่ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นมื้ออาหารที่ดีที่สุดสำหรับเธอจึงกลายเป็นการได้กินหอยตลับที่ย่างบนกองไฟ และดื่มโซจูผ่านเปลือกหอย ไม่ใช่ไวน์โซวิญง บลองก์ ราคาแพง แต่ได้เล่นเกมต่อคำ เมามาย หัวเราะกับเรื่องไร้สาระไปกับคนแปลกหน้าที่เธอเพิ่งรู้จักได้อย่างสบายใจ
ภรรยาผู้อยู่เบื้องหลังทุกอย่างของสามี
หนึ่งในประเด็นที่ถูกนำเสนอผ่านซีรีส์เกาหลีใต้อยู่บ่อยๆ คือภาพที่สามีออกไปทำงานนอกบ้าน ส่วนภรรยาคอยจัดการเรื่องที่เหลือทุกอย่าง ไม่ใช่แค่งานบ้าน แต่ยังหมายถึง ‘อนาคต’ ของสามีและครอบครัว
เราจะเห็นภรรยาของนายทหารหลายคนต้องเข้าร่วม ‘สมาคมแม่บ้าน’ และพยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาใจภรรยาพันเอกที่เป็นผู้ตัดสินการเลื่อนขั้นให้สามีของตัวเอง บางคนถึงขนาดไม่สนใจว่าขาตัวเองจะเป็นอย่างไร แต่ยอมปั่นจักรยานเพื่อปั่นไฟให้ภรรยาพันเอกได้ดูละครอย่างมีความสุข
หรือตัดภาพมาที่ภรรยาของลูกชายเจ้าของบริษัททั้งสองที่กำลังปั่นจักรยานอยู่ในฟิตเนสอย่างสบายใจ แต่ในหัวของพวกเธอโฟกัสอยู่แค่การช่วยให้สามีสืบทอดตำแหน่งประธานบริษัทให้ได้ ไม่ว่าจะวางแผน ต่อรอง เจรจาลับ หาคนสนับสนุน สวดภาวนา หรือแม้กระทั่งขัดแข้งขาคนอื่น พวกเธอทำได้ทุกอย่าง ขอแค่สามีมีโอกาสก้าวหน้าเพิ่มขึ้นสักนิดก็ยังดี
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าทุกครั้งที่เห็นสามีออกไปทำงานหนัก ภรรยาคือคนสำคัญที่ทำงานหนักไม่น้อยไปกว่ากัน หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป
ทุกคนล้วนมีเหตุผลและวิธีการในการ ‘ปกป้อง’ คนรักของตัวเอง
สิ่งที่น่าสนใจเมื่อความจริงค่อยๆ เปิดเผย เนื้อเรื่องเดินมาถึงทางแยกของ ‘รักสี่เส้า’ ระหว่าง รีจองฮยอก, ยุนเซรี, กูซึงจุน (คิมจองฮยอน) และซอดัน (ซอจีฮเย) คือการที่ Crash Landing on You ไม่ใช่แค่ให้คนดูลุ้นว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร แต่ต้องติดตามด้วยว่าทั้ง 4 คนจะทำอย่างไรเพื่อ ‘ปกป้อง’ คนที่ตัวเองรักได้ดีที่สุด
รีจองฮยอกยอมเอาหน้าที่การงานและชีวิตเข้าแลกเพื่อพายุนเซรีกลับบ้านเกิด, ยุนเซรียอมตัดความสัมพันธ์กับรีจองฮยอกแล้วเดินจากมา, กูซึงจุน นักต้มตุ๋นจอมเจ้าเล่ห์ อ้างความปลอดภัยของรีจองฮยอกและกดดันด้วยเอกสารแต่งงานเพื่อให้ยุนเซรีอยู่กับเขา และซอดัน ลูกสาวเศรษฐีที่ถูกจับหมั้นกับรีจองฮยอกเพื่อผลประโยชน์ พยายามใช้เส้นสายและวิธีการที่อาจถูกเกลียดเพื่อปกป้องรีจองฮยอกเอาไว้
ทุกคนเลือกทำตามวิธีการที่แตกต่างด้วยเหตุผลเดียวกันคือต้องการปกป้องคนที่ตัวเองรักเอาไว้ แม้กระทั่งกูซึงจุนกับซอดันที่ถูกวางสถานะเป็นเหมือนตัวร้าย ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นคนเลวในเกมความรัก
เพราะทุกคนรู้ดีว่านี่คือวิธีที่จะไม่ทำให้พวกเขาต้องเสียใจภายหลัง หากไม่ได้ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
แต่สุดท้ายก็อย่างที่รู้กันว่าความรักนั้นไม่เคยใจอ่อน เมื่อมีผู้เล่นมากกว่าสอง แม้จะพยายามทำทุกอย่างดีที่สุดแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องมีคนเสียใจอยู่ดี
พันเอก โชชอลกัง (โอมันซอก) “ผมเป็นคนทำธุรกิจที่ใส่เครื่องแบบทหาร”
โชชอลกัง คือนายทหารยศพันเอกที่ไม่ปรากฏหลักฐานของความรักชาติ แต่ใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานอำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจลักลอบขายสมบัติและคุ้มครองอาชญากรข้ามชาติให้มาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายและปลอดภัยที่ดินแดนสมมติ
ด้วยบุคลิกนิ่ง ขรึม ฉลาด ทันเหตุการณ์ มีเส้นสายที่แข็งแกร่ง พร้อมทำทุกอย่างไม่เว้นแม้กระทั่งฆ่าคนเพื่อให้บรรลุผลประโยชน์ และใช้อำนาจของตัวเองฝังทุกอย่างเอาไว้ใต้ดิน
ทำให้ประโยคสั้นๆ “ผมเป็นคนทำธุรกิจที่ใส่เครื่องแบบทหาร” ที่เขากล่าวขึ้นมาในดินแดนสมมติกลายเป็นประโยคที่ได้ยินแล้วรู้สึกสะเทือนใจ เพราะคลับคล้ายคลับคลากับอีกหนึ่งดินแดนสมมติที่อยู่ใกล้ๆ นี้เหมือนกัน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์