ก่อนงาน A Galaxy Event จะเริ่มต้นขึ้นในช่วงเย็นวันพุธที่ 10 เมษายน พร้อมกับความร้อนแรงจาก 4 สาววง BLACKPINK ที่เดินทางมาร่วมสร้างความอลังการให้แฟนๆ สมาร์ทโฟนซัมซุง THE STANDARD ได้รับโอกาสสุดพิเศษร่วมพูดคุยกับ ดีเจ โกห์ (DJ Koh) หรือ โกดงจิน ซีอีโอและประธานธุรกิจโทรคมนาคม บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด
ถ้ามีโอกาสได้ชมงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนและนวัตกรรมด้านโทรคมนาคมของซัมซุงมาบ้าง เราเชื่อว่าคุณก็น่าจะพอจำกันได้ว่า ดีเจ โกห์ คือคนที่มักจะปรากฏตัวบนเวที และนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ส่วนใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อน ออกตัวก่อนว่าเขาไม่ได้ทำงานเป็นดีเจเปิดเพลงตามสถานีวิทยุแต่อย่างใด
เราคุยกับซีอีโอแบรนด์สมาร์ทโฟนเบอร์ 1 ของโลก เพื่อให้เขาบอกเล่าถึงทิศทางธุรกิจ กลยุทธ์การทำตลาดต่อจากนี้ของซัมซุง คู่แข่งที่สำคัญจากประเทศจีน และบทเรียนที่เขาในฐานะซีอีโอได้เรียนรู้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาจากการทำแบรนด์สมาร์ทโฟนภายใต้ชื่อ ‘Galaxy’
หลายคำตอบทำให้เราทึ่งในวิสัยทัศน์ที่เขาวางไว้ให้กับแบรนด์ซัมซุง บางคำตอบฉุกคิดให้เราเห็นว่า นี่แหละคือวิธีคิดที่ผู้นำตลาดมอง…
5G และ AI ปัจจัยสำคัญที่จะเขย่าอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน
ปี 2019 ถือเป็นปีที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคมทั่วโลกตื่นตัวกับการเปลี่ยนผ่านจากเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ 4G ไปสู่ 5G มากเป็นพิเศษ เพราะว่ามันคือเทคโนโลยีที่มีผลกระทบกับทุกๆ อุตสาหกรรม โดยในเกาหลีใต้ ผู้ให้บริการอย่าง SK Telecom เพิ่งชิงเปิดตัวการให้บริการ 5G ไปเมื่อวันศุกร์ที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา
ดีเจ โกห์ แสดงความเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนทั่วโลกในช่วง 5-10 ปีต่อจากนี้ โดยเชื่อว่า 5G และ AI จะเป็นสองปัจจัยที่มีความสำคัญมากพอจะเขย่าวงการสมาร์ทโฟนให้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
“5 ปีต่อจากนี้เราจะไม่สามารถมองแค่สมาร์ทโฟนได้อย่างเดียวอีกต่อไป แต่ต้องมองถึงภาพรวมทั้งอุตสาหกรรม (โทรคมนาคม) เพราะตลอด 10 ปีที่ผ่านมามันเปรียบเสมือนยุค LTE แต่ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไปจะเป็นยุค 5G ซึ่งตลาดจะมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น ถ้าเทียบกับ LTE ความเร็วจะเร็วขึ้น 20 เท่า ความหน่วงต่ำลดลงกว่า 10% รองรับอุปกรณ์ในการใช้งานบนโครงข่ายเดียวกันได้มากถึง 10 เท่า ประโยชน์คือนอกจากจะใช้งานในชีวิตประจำวันได้แล้ว ยังสามารถใช้งานกับเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงรถยนต์ไร้คนขับได้อย่างราบรื่นอีกด้วย
“บทบาทของซัมซุงในยุค 5G เรามุ่งมั่นว่าจะรวมทั้ง 5G และ AI เข้าด้วยกัน เพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะระบบโครงข่าย ชิปเซต ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อสร้างระบบนิเวศที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคสัมผัสประสบการณ์การใช้งาน 5G และ AI เพื่อความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น”
ดีเจ โกห์ บอกว่า ในยุค 5G & AI นี้ ผู้เล่นรายใดในตลาดสมาร์ทโฟนที่เข้าใจเทคโนโลยีและเตรียมความพร้อมได้ดีกว่า ก็จะย่อมได้เปรียบมากกว่าคู่แข่งเจ้าอื่น สำหรับตัวซัมซุงเอง ปัจจุบันพวกเขามีศูนย์วิจัยและพัฒนาในด้านนี้มากกว่า 7 แห่งใน 7 ประเทศ และพร้อมจะลงทุนพัฒนาด้านนี้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ก็จะยึดเอา 5G และ AI เป็น Core Value พัฒนานวัตกรรมของบริษัทต่อไปเพื่อให้พร้อมตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละประเทศที่ไม่เหมือนกันให้ได้
A Series กับแนวคิด ‘ลูกค้าและผู้บริโภค = หัวใจและทุกอย่างของซัมซุง’
‘ลูกค้าคือพระเจ้า’ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่ปีกี่สมัย คำคำนี้ก็ยังเป็นอมตะเสมอ แต่ถ้าจะขยายความให้ชัดเจนขึ้น ลูกค้าคือพระเจ้าในมุมมองของซัมซุงคือ ‘Customer Centric’ ยึดเอาตัวผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางการพัฒนาสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ซัมซุงและดีเจ โกห์ให้ความสำคัญที่สุด
“ซัมซุงจะตั้งใจฟังเสียงของผู้บริโภคตลอดเวลา” คือคำที่เราได้ยินซีอีโอวัย 57 ปี ย้ำตลอดบทสนทนาอยู่บ่อยๆ เพราะเขามองว่านี่คือหนึ่งในเรื่องที่ซัมซุงและตัวเขาได้เรียนรู้ตลอด 10 ปี Samsung Galaxy ที่ผ่านมา
หนึ่งในเรื่องที่ชัดเจนที่สุดจากการเงี่ยหูฟังเสียงสะท้อนของผู้บริโภคและสังเกตพฤติกรรมของพวกเขาคือ การใส่นวัตกรรมใหม่ๆ ลงไปในสมาร์ทโฟนกลุ่มตลาดกลางทันทีที่พร้อม โดยไม่ต้องรอใส่ในสมาร์ทโฟนเรือธง กลุ่มเซกเมนต์ไฮเอนด์ก่อนเหมือนที่ผ่านๆ มา เนื่องจากพบว่าปัจจุบันผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียล (เกิดระหว่างช่วงปี 1979-1995) และ Gen Z (1996-2010) เป็นช่วงวัยที่ใช้งานสมาร์ทโฟนมากกว่าผู้บริโภคเจนอื่นๆ และส่วนใหญ่อาจจะมีกำลังซื้อไม่สูงนัก
“ก่อนหน้านี้มีกลยุทธ์ที่ว่า นวัตกรรมใหม่ต้องใส่ในมือถือเรือธงก่อน แล้วค่อยมาใส่ให้ A Series ทีหลัง แต่ปรากฏว่า 5 ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียลและ Gen Z ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับตลาดสมาร์ทโฟนเป็นอย่างมาก เนื่องจากพวกเขาเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ใช้งานสมาร์ทโฟนมากกว่าช่วงวัยอื่นๆ และอาจจะมีงบไม่ถึงเรือธง
“ตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา ซัมซุงจึงคิดหาวิธีที่จะตอบโจทย์พวกเขาให้ได้ นั่นคือการนำนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เรามีมาใช้กับ A Series และปรับราคาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น”
ปัจจุบันซัมซุงได้เริ่มใช้วิธีนี้กับสมาร์ทโฟนกลุ่ม A Series แล้ว โดยเฉพาะกับการใส่นวัตกกรรมใหม่ๆ ลงไปใน A80 ที่เพิ่งเปิดตัว และหากฟีดแบ็กจากผู้บริโภคดี พวกเขาก็จะนำนวัตกรรมนี้ไปปรับใช้กับสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงในลำดับต่อไป
ส่วนความกังวลที่ว่า การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ A Series ที่เน้นเจาะตลาดกลางออกมาในช่วงระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกันมากถึง 6 รุ่น ประกอบด้วย A10, A20, A30, A50, A70 และ A80 (2 รุ่นหลังจะเปิดตัวในไทยวันนี้) จะเป็นการแย่งตลาดกันเองหรือไม่ ดีเจ โกห์บอกว่า ทุกรุ่นมีช่วงต่างทางราคาที่ประมาณ 1,600-2,000 บาท ดังนั้นจึงมองว่าเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคมากกว่า
“อีก 5 ปีต่อจากนี้ เราจะยึดเอาประสบการณ์ผู้บริโภคเป็นโจทย์ตั้งต้นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ สมาร์ทโฟนแต่ละเครื่องจะต้องเข้าใจผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด ต้องฉลาด ต้องมีความเป็น Personalizing (ออกแบบมาเพื่อคนคนนั้นโดยเฉพาะ) ส่วนในด้านเทคโนโลยี แม้จะใช้ Android แต่ก็สามารถนำซอฟต์แวร์แบรนด์อื่นๆ มาเช่ือมโยงใช้งานได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ความปลอดภัยของผู้ใช้งานก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน
จะปฏิเสธว่า 4 แบรนด์จีนไม่ใช่คู่แข่งของเราก็ไม่ถูก ถ้าแบรนด์ไหนมีข้อดีหรือประสบความสำเร็จด้านไหน เราก็จะยอมรับและเรียนรู้เพื่อนำมาปรับใช้กับซัมซุง
แบรนด์มือถือจากจีนคือคู่แข่งและกรณีศึกษาที่ซัมซุงต้องเรียนรู้
แม้ซัมซุงจะยึดบัลลังก์ผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนโลกอันดับที่ 1 มาต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายปี แต่เรื่องที่พวกเขาจะประมาทไม่ได้คือ แบรนด์สมาร์ทโฟนจากจีนที่มาแรงมากๆ จนบางครั้งยังเคยเบียดคู่แข่งแบรนด์ผลไม้จากอเมริกาขึ้นมาเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนอันดับ 2 ของโลกในแง่ส่วนแบ่งการตลาดไปแล้วเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา
“ต้องยอมรับว่า 4 แบรนด์โทรศัพท์มือถือจากจีนเติบโตในช่วงที่ผ่านมาได้เร็วมาก มีผลงานในตลาดที่ดี มีหลายประเทศที่แบรนด์ 4 แบรนด์นี้ทำผลงานได้ดี ดังนั้น จะปฏิเสธว่า 4 แบรนด์นี้ไม่ใช่คู่แข่งของเราก็ไม่ถูก แต่ส่ิงที่เราต้องทำคือโฟกัสโรดแมปของตัวเองในอีก 5-10 ปีต่อจากนี้ เพื่อให้ผู้บริโภคมีประสบการณ์ที่ดีกับนวัตกรรมใหม่ๆ ของซัมซุง
“ขณะเดียวกันถ้า 4 แบรนด์นี้มีข้อดีหรือประสบความสำเร็จในด้านไหน เราก็จะยอมรับและเรียนรู้เพื่อนำมาปรับใช้กับซัมซุง”
ดีเจ โกห์ เปรียบเปรยว่า การที่ผู้ใช้งานซัมซุงเปลี่ยนไปใช้งานสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ ก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่กินต้มยำกุ้งทุกวัน แล้วจู่ๆ อาจจะเบื่อเลยอยากเปลี่ยนไปลองเมนูอาหารอื่นๆ ดูบ้าง แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่านานแค่ไหน ก็จะคิดถึงต้มยำกุ้งและกลับมาหาเมนูโปรด (ซัมซุง) ของตัวเองอีกครั้ง
“เราจะฟังเสียงของลูกค้าต่อไป ไม่หยุด สุดท้ายผู้บริโภคก็น่าจะทราบว่าซัมซุงได้พยายามให้พวกเขาได้มีประสบการณ์ใหม่ๆ ตลอดเวลา กรณีที่ผู้บริโภคเคยใช้ซัมซุงแล้วย้ายไปแบรนด์อื่นนั้น ก็ต้องยอมรับว่าเกิดจากความผิดพลาดของเราเอง ซึ่งเราก็จะแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาต่อไปเพื่อให้ Galaxy เป็นที่รักของผู้บริโภค ไม่ใช่แค่ตัวผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่รวมถึงแบรนด์และประสบการณ์ที่พวกเขาจะได้รับด้วย”
ทั้งนี้ โรดแมปที่ซีอีโอของซัมซุงหมายถึงคือ การพัฒนานวัตกรรม ดีไซน์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ไปจนถึงบริการหลังการขายให้รุดหน้า เกิดความเปลี่ยนแปลง และเป็นที่รักของผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา
10 ปี Samsung Galaxy และบทเรียนที่ผู้นำได้เรียนรู้
2019 คือปีครบรอบ 1 ทศวรรษการทำตลาดมือถือของซัมซุงในช่ือ Galaxy อย่างเป็นทางการ โดยตลอดช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นซัมซุงสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับวงการสมาร์ทโฟนโลกมาโดยตลอด ไม่ว่าจะมือถือจอโค้ง การผลักดันระบบปฏิบัติการ Android ให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคในยุคบุกเบิก ตลอดจนมือถือจอพับได้ Galaxy Fold ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน
นั่นคือมุมที่ผู้บริโภคอย่างเราสังเกตเห็น กลับกัน หากถามดีเจ โกห์ ในฐานะผู้นำและหัวเรือใหญ่ของซัมซุงล่ะ อะไรคือส่ิงที่เขาได้เรียนรู้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
“สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมได้เรียนรู้ตลอด 10 ปีของ Samsung Galaxy คือความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ต่างๆ เพราะกว่าจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์สักชิ้นได้ เราต้องร่วมมือกับบริษัทด้านฮาร์ดแวร์มากถึง 250-300 แห่ง และด้านซอฟต์แวร์มากกว่าหลักพันบริษัท กว่าจะออกผลิตภัณฑ์สักชิ้นให้ผู้บริโภคยอมรับได้ต้องใช้เวลานาน และต้องเป็นกลยุทธ์ที่วิน-วิน ทั้ง 2 ฝ่ายด้วย ดังนั้นในมุมมองของผม ‘ความร่วมมือที่แน่นแฟ้น’ จึงถือเป็นสิ่งสำคัญ
“สำหรับผู้บริโภค แน่นอนว่าเรายังต้องฟังเสียงของเขาตลอดเวลา แต่ในมุมของการเป็นซีอีโอบริษัท ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากพนักงานในบริษัทถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ การที่ผมจะนำพวกเขาได้ก็ต้องได้รับทั้งความเชื่อมั่นและความเชื่อถือของลูกทีมด้วย”
ดีเจ โกห์ ยังได้กล่าวทิ้งท้ายถึงตลาดประเทศไทย โดยบอกว่า ตลาดไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญมากๆ ของซัมซุง ดังนั้นการจะรักษาตำแหน่งผู้นำเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ตนและลูกทีมก็จำเป็นจะต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ให้โดนใจพวกเขา
“ช่วงนี้มีคู่แข่งหลายเจ้าที่ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ในประเทศไทย โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์กลุ่มไฮเอนด์เซกเมนต์ ผมได้ยินมาว่าอีก 2-3 ปีข้างหน้า กลุ่มผู้บริโภคมิลเลนเนียลจะมีสัดส่วนที่ใหญ่มากๆ หรือเทียบเท่า 50% ของตลาดสมาร์ทโฟนไทย ดังนั้นเมื่อมองว่าตลาดไทยสำคัญ ต้องการจะเป็นผู้นำตลาด ซัมซุงก็ต้องรักษาตำแหน่งนี้เอาไว้ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และสร้าง ‘Wow Factor’ กับผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ไทยให้ได้ตลอดเวลา”
และนี่คือเหตุผลที่ซัมซุงเลือกบินลัดฟ้ามาเปิดตัว Galaxy A70 และ A80 ที่ประเทศไทย ส่วนจะเรียกเสียง ‘ว้าว’ จากแฟนๆ และน่าทึ่งมากน้อยแค่ไหน ติดตามได้พร้อมกันคืนนี้!
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า