วันพรุ่งนี้ (28 ธันวาคม) เมียนมาจะเดินหน้าจัดการเลือกตั้งเฟสแรก ซึ่งนับว่าเป็นการลงคะแนนครั้งแรกนับตั้งแต่การรัฐประหาร เมื่อปี 2021 และถือเป็นการเลือกตั้งที่ไม่สามารถจัดให้พร้อมกันทั่วประเทศได้ เนื่องจากเมียนมากำลังอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งและไฟสงครามที่ยังไม่คลี่คลาย
สื่อหลายสำนักต่างมองว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้เป็น ‘การแข่งขันที่รู้ผลล่วงหน้า’ โดยพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (USDP) ซึ่งเป็น ‘พรรคตัวแทน’ ของกองทัพที่มีอดีตนายทหารระดับสูงตบเท้าเข้ามาเป็นสมาชิกจำนวนมากจะถูกวางบทบาทให้เป็น ‘ผู้ชนะตั้งแต่ต้น’ ขณะที่พรรคอื่นๆ จะเป็นเสมือน ‘พรรคประกอบฉาก’ เพื่อชูภาพลักษณ์ความหลากหลายทางการเมืองในอุดมคติของกองทัพ
ในขณะเดียวกัน สมรภูมิการเลือกตั้งก็ได้กลายเป็น ‘หน้ากระดานหนึ่ง’ ในภูมิรัฐศาสตร์โลกที่น่าจับตามอง เมื่อสหรัฐอเมริกาส่งสัญญาณต้องการกลับเข้ามามีอิทธิพลในเมียนมา เพื่อคานอำนาจกับจีนในภูมิภาค โดยเฉพาะเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามจะเข้าถึงทรัพยากรแร่แรร์เอิร์ธ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการทหาร
เมื่อ ‘การเลือกตั้ง’ วางอยู่บน ‘ทางแยก’ ระหว่างการเปลี่ยนผ่านในประเทศ และเกมอำนาจในกระดานโลก บทความนี้จะพาไปวิเคราะห์สถานการณ์เมียนมาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้อย่างใกล้ชิด
บริบทในภาพรวม
คณะกรรมการการเลือกตั้งได้กำหนดช่วงเวลาหาเสียงอย่างเป็นทางการไว้ในระหว่างวันที่ 28 ตุลาคม ถึง 26 ธันวาคม อย่างไรก็ตาม พรรค USDP ของกองทัพได้ขยับเกมการเมืองและเริ่มแคมเปญหาเสียง ทั้งจากการลงพื้นที่และบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน
ขณะที่พรรค NLD ของนางอองซานซูจี ซึ่งเคยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งปี 2015 ไม่สามารถลงเลือกตั้งได้ และไม่มีสถานะพรรคการเมืองอีกต่อไป เพราะกฎหมายพรรคการเมืองซึ่งทหารบังคับใช้หลังการรัฐประหารระบุว่าหากพรรคใดจะลงเลือกตั้ง ต้องจดทะเบียนตามกฎหมายภายใน 60 วัน หรือ 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้
โดยการเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นในบริบทที่กองทัพสามารถควบคุมกลไกทั้งหมดได้อย่างเบ็ดเสร็จ กลุ่มการเมืองที่แสดงความเห็นต่างยังคงถูกคุมขัง ส่วนผู้ที่โดนคาดโทษจาก ‘ข้อหาต่อต้านการเลือกตั้ง’ ก็มีแนวโน้มที่จะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ถึงสถานการณ์ในเมียนมาว่า กระบวนการเลือกตั้งครั้งนี้ ‘ขาดองค์ประกอบพื้นฐานของประชาธิปไตย’ อย่างชัดเจน
“มีการยุบพรรคการเมืองราว 30-40 พรรค ซึ่งขัดต่อกฎหมายพรรคการเมืองที่ทหารร่างขึ้น”
“แม้รัฐบาลทหารจะมีการทยอยปล่อยตัวนักโทษการเมืองบางส่วน แต่บุคคลสำคัญอย่างอองซานซูจี และอดีตประธานาธิบดี วิน มินต์ รวมถึงแกนนำพรรค NLD และฝ่ายการเมืองที่อยู่ตรงข้ามกับกองทัพ ยังคงถูกคุมขังอยู่” ผศ.ดร.ลลิตา กล่าว
มินอ่องหล่าย (ว่าที่) ประธานาธิบดี?
มีกระแสข่าวในประเทศเมียนมาว่า พลเอกอาวุโสมินอ่องหล่าย ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการ ควบคู่ไปกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา อาจจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของประเทศเมียนมาอย่างเป็นทางการ
โดยอ้างอิงถึงการให้สัมภาษณ์กับ RFA เมื่อปี 2015 มินอ่องหล่ายเคยกล่าวว่า เขาจะ ‘พิจารณา’ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี หากประชาชนเรียกร้อง และเมื่อถูก BBC ถามถึงความเป็นไปได้ในการได้รับการเสนอชื่อ เขาตอบว่าปัจจัยสำคัญคือการเสนอชื่อจากรัฐสภา
รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ประเมินความเป็นไปได้ของสถานการณ์นี้ว่า อนาคตของเมียนมาสามารถแบ่งออกเป็น 2 ฉากทัศน์ใหญ่ ด้วยกัน
ฉากทัศน์แรก เมื่อกองทัพสามารถจัดการเลือกตั้งได้สำเร็จ มินอ่องหล่ายอาจ ‘ไม่ขึ้นดำรงตำแหน่ง’ ประธานาธิบดีเอง แต่ให้บุคคลอื่น เช่น หัวหน้าพรรค USDP หรือบุคคลในเครือข่ายอำนาจ ขึ้นมาเป็น ‘ตัวแทน’ (Proxy) ถืออำนาจบริหารแทน แต่ถึงอย่างไรเครือข่ายของมินอ่องหล่ายก็จะยังคงมีอิทธิพลในกองทัพอยู่ ฉากทัศน์นี้ถูกมองว่า ‘เป็นทางเลือก’ ที่ช่วยลดแรงต่อต้านจากฝ่ายตรงข้ามบางส่วน และช่วยผ่อนคลายแรงกดดันจากนานาชาติได้มากที่สุด เนื่องจากมีทั้งการเลือกตั้งและไม่มีผู้นำรัฐประหารขึ้นเป็นประธานาธิบดีโดยตรง
ฉากทัศน์ที่สองคือ มินอ่องหล่ายก้าวขึ้น ‘เป็นประธานาธิบดี’ ด้วยตนเอง หลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น โดยอาจควบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดหรือไม่ก็ได้ ซึ่งจะทำให้เขามีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้ก็มี ‘ความเสี่ยงสูง’ เนื่องจากอาจกระตุ้นความไม่พอใจของฝ่ายต่อต้านอย่างรุนแรง และประชาคมโลกอาจวิจารณ์เมียนมาอย่างหนักว่าใช้กระบวนการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจของระบอบเผด็จการ ส่งผลให้ประเทศเมียนมาตกที่นั่งลำบากในเวทีระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น
นอกเหนือจากสองฉากทัศน์ใหญ่ข้างต้นแล้ว ยังมีอีกหนึ่งแนวทาง ซึ่งมี ‘ความเป็นไปได้น้อยกว่า’ แต่ก็ ‘ไม่อาจตัดทิ้งได้’ นั่นคือการที่ฝ่ายต่อต้านร่วมกับกองกำลังชาติพันธุ์สามารถขัดขวางการจัดการเลือกตั้งในหลายพื้นที่ จนทำให้รัฐไม่สามารถใช้อำนาจอธิปไตยได้อย่างสมบูรณ์ แม้รัฐบาลทหารจะสามารถเปิดสภาได้ก็ตาม ในกรณีนี้ ฝ่ายต่อต้านอาจยกระดับไปสู่การจัดตั้ง ‘ศูนย์อำนาจคู่ขนาน’ เช่น การนำรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) เข้าบริหารพื้นที่ที่ยึดครองได้อย่างมัณฑะเลย์ และสถาปนาเป็นศูนย์กลางอำนาจแข่งกับกรุงเนปิดอว์
แต่ฉากทัศน์นี้ ‘เกิดขึ้นได้ยาก’ เนื่องจากศักยภาพทางการทหารและการรวมศูนย์อำนาจของ NUG และพันธมิตรยังไม่อยู่ในระดับที่สามารถท้าทายกองทัพเมียนมาได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งกองทัพยังสามารถยึดคืนพื้นที่บางส่วนจากฝ่ายต่อต้านได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้โอกาสที่แผนการเลือกตั้งของทหารจะถูกทำลายลง ยังคงมีจำกัด
สหรัฐฯ – จีน เอาไงต่อ
นักวิชาการจำนวนไม่น้อยมองว่า การเลือกตั้งในเมียนมาเป็นหนึ่งใน ‘หน้ากระดานทางภูมิรัฐศาสตร์’ ที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะในบริบทของการแข่งขันเชิงอำนาจระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนได้เข้าไปมีบทบาทอย่างมากในเมียนมา ทั้งในมิติทางการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคง ตั้งแต่ผลประโยชน์ด้านทรัพยากร ไปจนถึงความสัมพันธ์กับกองทัพและชนกลุ่มน้อย โดยเฉพาะ ‘แร่แรร์เอิร์ธ’ ซึ่งเป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญทางการทหาร
ผศ.ดร.ลลิตา มองว่า เมียนมาถูกดึงให้กลับมาอยู่ในความสนใจของสหรัฐอเมริกามากขึ้นจากประเด็นทรัพยากรแรร์เอิร์ธ เนื่องจากเมียนมาเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกคาดการณ์ว่า มีแร่แรร์เอิร์ธในปริมาณที่สูง แต่ในขณะเดียวกัน สหรัฐเองก็มีความจำเป็นที่จะต้องหาช่องทางไปเจรจากับประเทศอื่นๆ ที่มีแรร์เอิร์ธด้วย ไม่ใช่แค่กับเมียนมาเพียงประเทศเดียว
อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.ลลิตา ได้เปรียบเทียบบทบาทของสหรัฐฯ กับในอดีต และพบว่า ปัจจุบัน การมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในเมียนมา ‘ลดน้อยลงอย่างมาก’ ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ เคยเข้าไปสนับสนุนชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มอย่างเต็มตัว แต่ในปัจจุบัน สหรัฐฯ กลับเป็นคนตัดงบสนับสนุนค่ายผู้อพยพจำนวน 9 แห่งตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ส่งผลให้ค่ายเหล่านี้ต้องหันมาพึ่งพาการดูแลตนเองมากขึ้น รวมถึงบประมาณที่เคยจัดสรรให้กับฝ่ายต่อต้านก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ทางด้านของ รศ.ดร.ดุลยภาค มองว่า สหรัฐฯ ยังคงมีความจำเป็นต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับเมียนมาในระดับหนึ่ง เพื่อถ่วงดุลอิทธิพลของจีน
โดยหากพิจารณาจากรูปแบบการดำเนินนโยบายต่างประเทศของทรัมป์ สิ่งที่เคยถูกตั้งคำถามว่า สหรัฐฯ จะเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับระบอบเผด็จการหรือไม่ อาจไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป หากผลประโยชน์ที่ได้ตอบโจทย์วาระเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ทั้งในประเด็นทรัพยากรแรร์เอิร์ธ การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และการมีพื้นที่ตั้งหลักเพื่อถ่วงดุลจีน
สำหรับประเด็นการเลือกตั้ง ผศ.ดร.ลลิตา อธิบายว่า สหรัฐฯ เองไม่ได้เป็นฝ่ายที่ผลักดันกระบวนการดังกล่าวอย่างจริงจัง ท่าทีที่แสดงออกมีเพียงพยายามกดดันรัฐบาลทหารให้ปล่อยตัวนักโทษการเมือง รวมถึงออง ซาน ซูจี และเรียกร้องให้เมียนมากลับสู่เส้นทางประชาธิปไตย
ในทางตรงกันข้าม จีนเป็นฝ่ายที่แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการสนับสนุนการเลือกตั้ง โดยหวังว่า การเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐบาลชุดใหม่ จะช่วยสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของเมียนมา ซึ่งตอนนี้กำลังซบเซาอย่างหนัก และมีสัญญาณที่ไม่ค่อยสู้ดี เนื่องจากบริษัทต่างชาติจำนวนมากยังคงถอนการลงทุนออกจากประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการบอยคอตและการถอนทุนของโลกตะวันตก นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2021
มากไปกว่านั้น การเลือกตั้งยังเป็นกลไกหนึ่งที่จะช่วยสร้างเงื่อนไขให้เกิดการเจรจาสันติภาพบางส่วนระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงและหล่อเลี้ยงไม่ให้โครงการขนาดใหญ่ของจีนในเมียนมาได้รับผลกระทบ รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าว
บทบาทของไทยในการเลือกตั้งเมียนมา
ที่ผ่านมา สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้สงวนท่าทีต่อประเด็นการเลือกตั้งในเมียนมาเป็นระยะเวลายาวนาน จนในที่สุด รัฐบาลได้ประกาศว่าจะส่งตัวแทนจากประเทศไทยไปสังเกตการณ์การเลือกตั้งในเมียนมา โดยระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวเป็นดุลยพินิจของไทยเอง
โดยก่อนหน้านี้ กลุ่มประเทศอาเซียนได้เคยมีมติในที่ประชุมว่าจะ ไม่ส่งผู้แทนจากอาเซียนไปสังเกตการณ์การเลือกตั้ง แต่มติดังกล่าวไม่ได้ห้ามประเทศสมาชิกแต่ละประเทศ หากมีความประสงค์จะดำเนินการส่งผู้แทนไปยังเมียนมา
ผศ.ดร.ลลิตา อธิบายท่าทีของรัฐบาลไทยต่อการเลือกตั้งในเมียนมาครั้งนี้ว่าอยู่ในลักษณะ “แบ่งรับแบ่งสู้” กล่าวคือ แม้ประเทศไทยจะไม่ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า สนับสนุนให้มีการเลือกตั้ง แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ปรากฏท่าทีจากบุคคลในรัฐบาลที่ออกมาคัดค้านหรือโจมตีกระบวนการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างเปิดเผย
โดยอาจารย์ลลิตาได้วิเคราะห์ถึง ‘ปัจจัยที่ส่งผลต่อท่าทีดังกล่าวของไทย’ ว่า ปัจจัยแรกคือ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยมีแนวชายแดนติดกับเมียนมาเป็นระยะยาว และมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งแม้จะไม่มากเทียบเท่ากับจีน แต่ก็ถือว่ามีมูลค่าสูงอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของไทยยังคงดำเนินกิจการอยู่ในเมียนมาจำนวนไม่น้อย
ปัจจัยต่อมาคือ สถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมานั้น ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการหลั่งไหลของผู้อพยพเข้ามาในไทยหลังการรัฐประหารในปี 2021 หรือความเสี่ยงตามแนวชายแดน ซึ่งมีการใช้อาวุธหนักและปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในพื้นที่ชายแดน การสู้รบจึงกระทบต่อชีวิตประชาชนในฝั่งไทยอย่างมาก โดยเคยมีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่เรื่อยๆ
แม้การเลือกตั้งจะไม่ใช่จุดจบของความขัดแย้ง แต่ก็อาจมีส่วนช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในระดับหนึ่ง ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ อาจารย์ลลิตาจึงประเมินว่าหนึ่งในเป้าหมายของกระทรวงการต่างประเทศของไทย คือการเจรจากับรัฐบาลเมียนมาเพื่อขอให้มีการลดระดับความรุนแรง โดยเฉพาะการโจมตีในพื้นที่ใกล้แนวชายแดน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนในประเทศไทยโดยตรง
ทางด้านของ รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าวเสริมว่า ท่าทีของไทยสอดคล้องกับค่านิยมและบรรทัดฐานของอาเซียนที่ยึดหลักไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิก ภายใต้กรอบดังกล่าว ไทยจึงไม่น่าจะออกมาวิพากษ์วิจารณ์การเลือกตั้งครั้งนี้อย่างเปิดเผย ขณะเดียวกันก็ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องรักษาความสัมพันธ์กับกองทัพเมียนมาต่อไป
บทบาทของไทยที่น่าจับตามองในอนาคต อยู่ที่การผลักดัน ‘กระบวนการสันติภาพ’ ในเมียนมา โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งไทยสามารถทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมให้มีการเปิดพื้นที่หรือเวทีให้กลุ่มชาติพันธุ์บางส่วนได้หารือร่วมกับตัวแทนจากรัฐบาลส่วนกลางเมียนมา เพื่อสร้างกลไกการพูดคุยด้านสันติภาพต่อไป รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าว
แฟ้มภาพ: Lauren DeCicca / Getty Images
อ้างอิง:


