เมื่อ กนง. เคาะ ‘ลดดอกเบี้ยนโยบาย’ แล้ว หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว หรือมองแค่ว่าคงได้ดอกเบี้ยออมทรัพย์น้อยลงไปนิดเดียว แต่ความเป็นจริงแล้ว การลดดอกเบี้ยกระทบกับเงินในกระเป๋าสตางค์พวกเรามากกว่าที่คิด
ทุกเปอร์เซ็นต์ที่ขยับ มันคือ ‘โอกาส’ ของคนผ่อนบ้าน และเป็น ‘โจทย์ใหญ่’ ของคนมีเงินเก็บที่ต้องคิดหนักกว่าเดิมเพราะผลตอบแทนที่กำลังหดหายไปเรื่อยๆ
เมื่อกฎทางการเงินกำลังถูกปรับเปลี่ยน การนิ่งเฉยอาจทำให้เราพลาดโอกาสที่ดีไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้น นี่คือ 5 เคล็ดลับที่เราควรรีบดำเนินการทันที เพื่อเปลี่ยนเทรนด์ดอกเบี้ยขาลงให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อกระเป๋าเงินของเรา
การลดดอกเบี้ยส่งผลอย่างไร?
ที่ธนาคารกลางลดดอกเบี้ย ก็เปรียบเหมือนการฉีดออกซิเจน เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยมีกลไกหลักๆ คือ
1. กระตุ้นการใช้จ่าย (หนี้น้อยลง ออมไม่คุ้ม จึงกล้าใช้)
- กู้ง่าย-ผ่อนสบาย: เมื่อดอกเบี้ยลด ค่างวดผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หรือดอกเบี้ยบัตรเครดิตจะถูกลง คนจึงมีเงินเหลือในกระเป๋าไปใช้จ่ายอย่างอื่นมากขึ้น
- ย้ายเงินออม: เมื่อฝากเงินแล้วได้ดอกเบี้ยน้อยลง คนจะนำเงินออกมาใช้หรือลงทุนแทนการแช่เงินไว้ในธนาคาร ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในตลาดมากขึ้น
2. ลดต้นทุนผู้ประกอบการ (ภาระลด กำไรเพิ่ม ขยายธุรกิจ)
- ลดรายจ่ายดอกเบี้ย: ธุรกิจส่วนใหญ่มีหนี้เงินกู้ เมื่อดอกเบี้ยขาลง ต้นทุนทางการเงินจะลดลงทันที ช่วยให้บริษัทมีกำไรสุทธิมากขึ้นและมีสภาพคล่องสูงขึ้น
- จูงใจให้ลงทุน: เมื่อต้นทุนการกู้ยืมถูกลง เจ้าของธุรกิจจะกล้ากู้เงินมาสร้างโรงงาน ซื้อเครื่องจักร หรือจ้างงานเพิ่ม เพราะมองว่าคุ้มค่ากว่าช่วงดอกเบี้ยแพง
3. ค่าเงินอ่อนตัว (เงินไหลออก ช่วยส่งออกไทย)
- เงินทุนย้ายที่: นักลงทุนจะย้ายเงินจากไทยไปฝากในประเทศที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่า เมื่อมีการขายเงินบาทเพื่อไปซื้อเงินสกุลอื่น มูลค่าเงินบาทจึงอ่อนค่าลง
- สินค้าไทยถูกลง: เมื่อเงินบาทอ่อน สินค้าไทยจะราคาถูกลงในตลาดโลก (เช่น ต่างชาติใช้เงิน 1 ดอลลาร์ แต่ซื้อของไทยได้มากขึ้น) ทำให้ภาคการส่งออก และการท่องเที่ยวแข็งแกร่งขึ้น
ดังนั้น ลดดอกเบี้ย = ลดภาระคนกู้ + เพิ่มกำไรธุรกิจ + ช่วยภาคส่งออก > เพื่อดันให้เศรษฐกิจในภาพรวมกลับมาคึกคัก
หมายเหตุ: ปลายปี 2025 แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับตัวลดลง แต่ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่า เนื่องจากปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบรุนแรงกว่า ทั้งจากเงินดอลลาร์ที่ยังอ่อนค่า และราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้น
ผลกระทบ ใครได้? ใครเสีย?
คนมีหนี้ (ยิ้มออก): โดยเฉพาะหนี้ที่ดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate) เช่น กู้บ้าน หรือเงินกู้ธุรกิจ ต้นทุนดอกเบี้ยจะลดลง ทำให้เงินงวดที่จ่ายไปถูกนำไปตัดเงินต้นได้มากขึ้น
คนมีเงินเก็บ (ต้องปรับตัว): ผลตอบแทนจากเงินฝากออมทรัพย์หรือเงินฝากประจำจะค่อยๆ ลดลง จนผลตอบแทนที่ได้ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ รวมถึงตราสารหนี้ออกใหม่ที่จะให้ดอกเบี้ยน้อยลงด้วย
5 ข้อต้องรู้ เพื่อปรับกลยุทธ์รับมือดอกเบี้ยขาลง
เมื่อทิศทางดอกเบี้ยเปลี่ยน ถ้าเราอยู่เฉยๆ ก็อาจจะพลาดโอกาส นี่คือ 5 วิธีจัดการเงินที่แนะนำ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลง และทำให้เงินของเราเติบโตได้ต่อเนื่อง
1. ยื่นรีเทนชัน หรือ รีไฟแนนซ์ บ้าน
สำหรับคนผ่อนบ้านมาเกิน 3 ปี นี่คือจังหวะทอง ช่วงดอกเบี้ยนโยบายลดลง ธนาคารมักจะออกโปรโมชั่นใหม่ๆ มาดึงดูดลูกค้า
- Retention: ขอลดดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม ข้อดีคือสะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเสียค่าประเมินใหม่
- Refinance: ย้ายไปธนาคารใหม่เพื่อให้ได้โปรโมชั่นดอกเบี้ยต่ำพิเศษ แม้จะมีขั้นตอนมากกว่า แต่บ่อยครั้งที่ช่วยประหยัดเงินได้เป็นหลักแสนตลอดอายุสัญญา
อย่าลืม ตรวจสอบสัญญาก่อน ดูว่าเราผ่อนบ้านมาครบ 3 ปีหรือยัง (เพื่อไม่ให้เสียค่าปรับ)
แม้ว่ารีเทนชั่นกับธนาคารเดิม จะได้ลดดอกเบี้ยน้อยกว่า แต่ถ้ายอดหนี้คงเหลือเราเหลือน้อยแล้วหรือใกล้จะปิดหนี้ได้แล้ว การรีไฟแนนซ์ที่ต้องมีการประเมินใหม่และมีค่าธรรมเนียมอีก ก็อาจจะไม่คุ้ม
2. คงค่างวดเท่าเดิม เพื่อโปะให้หนี้หมดไว
เมื่อดอกเบี้ยลดลง ยอดเรียกเก็บขั้นต่ำจากแบงก์จะลดลงตาม แต่ถ้าเราจ่ายเท่าเดิม ส่วนต่างที่เกินมาจะเข้าไปตัดเงินต้นแบบ 100% ทำให้หนี้ลดเร็วขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยที่เราไม่ต้องควักเงินเพิ่มจากเดิมเลย
เพราะฉะนั้น เทคนิคที่แนะนำที่สุดคือ ‘จ่ายเท่าเดิม แม้ดอกเบี้ยลด’ สมมติปกติจ่ายงวดละ 15,000 บาท เมื่อดอกเบี้ยลดลง ยอดเรียกเก็บจริงอาจเหลือ 14,200 บาท แต่ถ้าเรายังยืนหยัดจ่าย 15,000 บาทเท่าเดิม ส่วนต่าง 800 บาทจะเข้าไปตัดเงินต้นโดยตรง ช่วยให้หนี้บ้านหมดเร็วขึ้น 2-3 ปีเลย
3. รีบล็อกเงินฝากดอกเบี้ยสูง
ธนาคารมักจะปรับ ‘ลดดอกเบี้ยเงินฝากก่อน’ ดอกเบี้ยเงินกู้เสมอ สมมติเรามีเงินฝาก 100,000 บาท การที่ดอกเบี้ยลดลง 0.25% หมายความว่าผลตอบแทนที่ได้รับจะหายไป 250 บาทต่อปี
ดังนั้น ถ้าเราเป็นสายออมเงินที่รับความเสี่ยงไม่ได้ ต้องรีบขยับตัวก่อนเพื่อล็อกผลตอบแทนไว้ตั้งแต่ตอนนี้จะช่วยให้เราได้ดอกเบี้ยในอัตราเดิมไปอีกระยะหนึ่ง
- ย้ายเงินเข้าบัญชีเงินฝากประจำ: เลือกแบบ 12-24 เดือนเพื่อล็อกดอกเบี้ยสูงในปัจจุบันไว้ (มักจะได้ผลตอบแทนเดิมได้อีกสักพักหนึ่ง และอาจมีการปรับลดในเวลาต่อมา แล้วแต่สัญญา)
- สแกนหา Digital Savings: มองหาบัญชีออมทรัพย์ดิจิทัลที่ยังให้ดอกเบี้ยสูงและยังไม่ประกาศปรับลด
- สลากออมทรัพย์: เป็นอีกทางเลือกในการพักเงินที่ให้ผลตอบแทนคงที่พร้อมลุ้นรางวัล
4. จัดพอร์ตรับกำไรจากตราสารหนี้
ในช่วงดอกเบี้ยขาลง ตราสารหนี้ (หุ้นกู้/พันธบัตร) จะกลายเป็นสินทรัพย์ที่เนื้อหอมมาก เพราะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ถึง 2 ต่อ ทั้งจาก ‘ดอกเบี้ย’ และ ‘กำไรจากส่วนต่างราคา’
ทำไมดอกเบี้ยลด ราคาตราสารหนี้ถึงพุ่ง?
- ของเก่าหอมหวานกว่า: สมมติเราถือตราสารหนี้ใบเดิมที่ให้ดอกเบี้ย 4% แต่พอ กนง. ลดดอกเบี้ย ตราสารหนี้ใบใหม่ที่เพิ่งออกมาจะให้ดอกเบี้ยเหลือแค่ 2%
- คนรุมซื้อ: นักลงทุนย่อมอยากได้ใบที่ให้ 4% มากกว่า จึงยอม ‘จ่ายเงินแพงขึ้น’ เพื่อขอซื้อต่อจากเรา
- เกิดกำไรส่วนต่าง (Capital Gain): นอกจากจะได้ดอกเบี้ยตามปกติแล้ว มูลค่าตราสารหนี้ที่เราถืออยู่จะ ‘แพงขึ้น’ ทำให้เราขายทำกำไรได้มากกว่าตอนซื้อมานั่นเอง
ดังนั้น เราสามารถอาศัยโอกาสที่ราคาของตราสารหนี้กำลังสูงขึ้น ในการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์
- เข้าซื้อหุ้นกู้คุณภาพดี (Investment Grade): เพื่อชิงล็อกอัตราดอกเบี้ยรับที่ยังสูงอยู่ไว้ใช้ยาวๆ ก่อนที่หุ้นกู้ลอตใหม่ๆ จะปรับลดดอกเบี้ยลงตามนโยบาย กนง. (อย่าลืมเช็กอันดับเครดิตเพื่อป้องกันความเสี่ยง)
- ลงทุนผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้: เป็นที่พักเงินที่ปลอดภัยและมักให้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก โดยแนะนำให้เลือกกองที่ถือครอง ตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว เพราะยิ่งอายุยาว ราคาจะยิ่งดีดตัวสูงขึ้นเมื่อดอกเบี้ยลดลง
- ตรวจสอบกองทุนที่ถืออยู่: หากเรามีกองทุนตราสารหนี้อยู่แล้ว ให้สังเกตค่า NAV จะพบว่ามีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ เป็นจังหวะที่ดีในการพิจารณาจัดพอร์ตใหม่
- ส่องกองทุนรวมดัชนี (Index Fund): ไม่ใช่แค่ตราสารหนี้ แต่ตลาดหุ้น (โดยเฉพาะกองทุนดัชนี) มักตอบรับเชิงบวกเมื่อต้นทุนทางการเงินของบริษัทต่างๆ ลดลง ทำให้ภาพรวมการลงทุนดูสดใสขึ้น
การเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้ในช่วงนี้ คือการล็อกกำไร และดักรอส่วนต่างราคาที่ดีที่สุด
5. สแกนหาหุ้นปันผล และ REITs ที่น่าสนใจ
เมื่อดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารลดลงจนไม่น่าดึงดูด นักลงทุนจะเริ่มมองหา ‘แหล่งพักเงิน’ ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ หุ้นปันผลและ REITs (กองทรัสต์อสังหาริมทรัพย์) จึงกลายเป็นพระเอกในช่วงนี้ เพราะว่า
- คนหนีเงินฝากไปหาปันผล: เมื่อฝากเงินได้ดอกเบี้ยน้อยลง เงินลงทุนมักจะไหลเข้าสู่สินทรัพย์ที่ให้ปันผลสูงกว่า เพื่อรักษาโอกาสในการสร้างกระแสเงินสด
- REITs ได้ประโยชน์ 2 ต่อ: ต่อแรก ต้นทุนลด กองทรัสต์ส่วนใหญ่กู้เงินมาลงทุน เมื่อดอกเบี้ยลง ภาระหนี้ของกองทุนก็ลดลง ทำให้มีกำไรมาจ่ายปันผลให้เราได้มากขึ้น ต่อที่สอง ราคาพุ่ง เมื่อความต้องการซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อหวังปันผล จะส่งผลให้ราคาหน่วยลงทุนปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
เมื่อตัดสินใจที่จะย้ายเงินจากเงินฝากมายังสินทรัพย์เหล่านี้เพื่อรับผลตอบแทนที่ดีขึ้น มีหลายกลยุทธ์ที่สามารถดำเนินการได้ โดยเน้นไปที่การสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงและได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยต่ำ
- คัดหุ้นปันผลคุณภาพ: เน้นบริษัทที่มีกระแสเงินสดมั่นคงและจ่ายปันผลสม่ำเสมอต่อเนื่องหลายปี (เช่น กลุ่มสาธารณูปโภค หรืออุปโภคบริโภค) โดยตั้งเป้าหมายที่อัตราปันผล 5-7% ต่อปี เพื่อชนะดอกเบี้ยเงินฝากแบบขาดลอย
- เลือก REITs ที่พื้นฐานแกร่ง: มองหาอสังหาริมทรัพย์ในทำเลดีที่มีผู้เช่าเต็มตลอด เช่น คลังสินค้า, ศูนย์การค้า หรือโรงแรมใหญ่ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้กระแสเงินสดสม่ำเสมอ
- สร้างรายได้สม่ำเสมอ (Passive Income): ใช้ช่วงจังหวะดอกเบี้ยต่ำนี้ในการสะสมสินทรัพย์ที่จ่ายปันผล เพื่อสร้างเงินเดือนที่สองทดแทนรายได้จากดอกเบี้ยธนาคารที่หายไป
ข้อควรระวัง การลงทุนในตราสารหนี้, หุ้นปันผล, หรือ REITs มีความเสี่ยงมากกว่าการฝากเงินเสมอ เงินที่นำไปลงทุนต้องเป็นส่วนที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูง ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
สุดท้ายแล้ว การลดดอกเบี้ยไม่ใช่เรื่องไกลตัวระดับประเทศ แต่มันคือเรื่องของเงินทุกบาทในกระเป๋าเราจริงๆ ใครที่เริ่มขยับตัวก่อน ไม่ว่าจะรีบเข้าไปคุยกับแบงก์เรื่องบ้าน หรือมองหาที่วางเงินเก็บใหม่ๆ ก็คือคนที่รักษาสิทธิประโยชน์ของตัวเองได้ดีที่สุด
สรุป 5 ข้อที่ควรรู้นี้ไม่ใช่เรื่องยากเกินเอื้อม แต่มันคือวิธีที่จะช่วยให้ภาระหนี้ที่เราแบกอยู่เบาลง และช่วยให้เงินออมที่เราตั้งใจสะสมมายังคงทำงานให้เราได้อย่างคุ้มค่าที่สุด ในวันที่ลมเปลี่ยนทิศแบบนี้ การเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้ จะช่วยให้เราอุ่นใจและมีที่ว่างในกระเป๋าสตางค์เพิ่มขึ้นในระยะยาว
ภาพ: Nuthawut Somsuk/Getty Images
อ้างอิง:


