จากเดิมที่กาแฟเป็นเพียงเครื่องดื่มแก้ง่วง วันนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค ส่งให้ตลาดกาแฟเติบโตอย่างรวดเร็วและกลายเป็นหนึ่งในเซกเมนต์ที่ขยายตัวเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังแก้วกาแฟที่ผู้บริโภคดื่มกันในแต่ละวัน ไม่ได้มีเพียงเรื่องรสชาติหรือบรรยากาศของร้านเท่านั้น
แต่ยังซ่อนความท้าทายรอบด้านที่ผู้เล่นทั้งรายเล็กและรายใหญ่ต้องเผชิญ ตั้งแต่ปัญหาซัพพลาย ต้นทุนการผลิต ไปจนถึงความยั่งยืนของระบบการผลิตทั้งหมด ท่ามกลางแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คำถามสำคัญคือ ประเทศไทยจะรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ได้มากน้อยเพียงใด
พงษ์ศักดิ์ ภัทรเมธีวิญญู ผู้จัดการฝ่ายบริหารห่วงโซ่อุปทานเมล็ดกาแฟดิบ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ฉายภาพว่า ปัจจุบันคนไทยดื่มกาแฟเฉลี่ยราว 1-2 แก้วต่อคนต่อวัน ถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วง 5-7 ปีก่อน สะท้อนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคจากการดื่มกาแฟเพื่อกระตุ้นความสดชื่น ไปสู่การดื่มกาแฟในฐานะไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะการเติบโตของวัฒนธรรมคาเฟ่และกาแฟชนิดพิเศษ (Specialty Coffee) ที่ทำให้กาแฟกลายเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์และประสบการณ์ของผู้บริโภค
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- OR ขอทบทวนธุรกิจในกัมพูชาใหม่! หลังเจอกระแสต้านสินค้าไทย…
- OR กำไรไตรมาส 3 พุ่ง 17% เฉพาะร้าน Café Amazon ขายได้ 109 ล้านแก้ว
- เปิดวิชันแม่ทัพ OR ธุรกิจน้ำมันและกาแฟเราทำสำเร็จได้ ทำไม Health & Beauty เราจะทำไม่ได้…
กระแสดังกล่าวส่งอานิสงส์ให้ Café Amazon มียอดขายกาแฟสูงถึงราว 400 ล้านแก้วต่อปี และเมื่อดีมานด์ในตลาดขยายตัวต่อเนื่อง ธุรกิจจึงจำเป็นต้องบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานให้เพียงพอและมีเสถียรภาพ โดยปัจจุบันแหล่งจัดซื้อเมล็ดกาแฟของ Café Amazon แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ การรับซื้อจากเกษตรกรและภาคีเครือข่ายที่บริษัทเข้าไปส่งเสริมโดยตรง การรับซื้อจากวิสาหกิจชุมชนและหน่วยงานต่าง ๆ เช่น โครงการหลวง และการจัดหาผ่านผู้ค้าทั่วไปหรือพ่อค้าคนกลาง
ในเชิงสัดส่วน วัตถุดิบกาแฟที่มาจากเกษตรกรและภาคีเครือข่ายคิดเป็นประมาณ 25-30% ของการใช้ทั้งหมด ขณะที่กาแฟจากพ่อค้าคนกลางยังมีสัดส่วนมากกว่า 50% โดยแนวทางการทำงานกับเกษตรกร OR ไม่ได้ใช้รูปแบบสัญญาผูกมัดหรือบังคับขาย แต่เน้นการสร้างตลาดที่มั่นคงและกำหนดราคาที่เป็นธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าเกษตรกรสามารถจำหน่ายผลผลิตได้จริงในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเกษตรกรกาแฟไม่ใช่กระบวนการที่เห็นผลในระยะสั้น ตั้งแต่การฟื้นฟูพื้นที่ การปลูกไม้ร่มเงา การปลูกกาแฟ ไปจนถึงการให้ผลผลิตและแปรรูปเชิงพาณิชย์ ล้วนต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-4 ปี และในหลายพื้นที่อาจยืดเยื้อถึง 5-6 ปี ขณะเดียวกัน ปัจจัยด้านภูมิประเทศยังเป็นข้อจำกัดสำคัญ เนื่องจากกาแฟอาราบิก้าคุณภาพดีต้องปลูกในพื้นที่สูงกว่า 800 เมตรจากระดับน้ำทะเล และจะให้คุณภาพดีที่สุดในระดับมากกว่า 1,000 เมตร เพราะอุณหภูมิที่เย็นช่วยให้เมล็ดกาแฟสุกช้า สะสมสารอาหารได้ดี ส่งผลต่อรสชาติและราคาขาย หากปลูกในพื้นที่ไม่เหมาะสม เมล็ดกาแฟจะมีขนาดเล็ก คุณภาพลดลง และราคาตกต่ำ
พงษ์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในเชิงโครงสร้างประเทศไทยยังไม่สามารถผลิตกาแฟได้เพียงพอกับความต้องการบริโภคภายในประเทศ โดยปัจจุบันไทยมีกำลังการผลิตสูงสุดเพียงราว 20,000 ตันต่อปี ขณะที่การบริโภคกาแฟรวมทั้งเมล็ดดิบและกาแฟสำเร็จรูปอยู่ในระดับหลักแสนตันต่อปี ทำให้กาแฟยังคงเป็นสินค้าเกษตรที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ
จากบริบทดังกล่าว เป้าหมายระยะยาวของ OR คือการเพิ่มสัดส่วนกาแฟยั่งยืนจากเกษตรกรในประเทศให้มากขึ้น พร้อมทยอยลดการพึ่งพาซัปพลายจากพ่อค้าคนกลาง โดยจะจัดหาจากแหล่งอื่นเพิ่มเติมเฉพาะในกรณีที่ปริมาณวัตถุดิบยังไม่เพียงพอ
ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมกาแฟทั่วโลกกำลังเผชิญแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งภัยแล้ง พายุ โรคพืช และศัตรูพืช ส่งผลให้ผลผลิตลดลงอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับความต้องการบริโภคที่เติบโตเฉลี่ย 7-8% ต่อปี โดยกรณีของบราซิล ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก เคยสูญเสียผลผลิตมากกว่า 25% จากภัยธรรมชาติ ส่งผลให้ราคากาแฟโลกปรับตัวสูงและตึงตัวต่อเนื่องหลายปี
สำหรับแนวโน้มราคากาแฟในช่วงปี 2568-2569 ทั้งตลาดโลกและในประเทศไทยยังมีทิศทางอยู่ในระดับสูง โดยปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนราว 6-7% และยังเผชิญความไม่แน่นอนจากปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดล่าช้า
OR มองว่า หากผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไม่เร่งสร้างซัปพลายกาแฟที่ยั่งยืน ต้นทุนกาแฟในอนาคตอาจพุ่งสูงจนผู้บริโภครับภาระไม่ไหว และจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อทั้งร้านกาแฟรายย่อยและเชนขนาดใหญ่ ดังนั้น การลงทุนพัฒนาเกษตรกร การดูแลระบบนิเวศ และการสร้างตลาดที่เป็นธรรม จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) แต่เป็นกลไกสำคัญในการรักษาสมดุลของทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรมกาแฟ
ท้ายที่สุด พงษ์ศักดิ์ ย้ำว่า บทบาทขององค์กรขนาดใหญ่ไม่ควรจำกัดอยู่แค่การเป็น ผู้ซื้อ แต่ต้องเป็น ผู้ร่วมสร้างระบบ เพราะหากทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน ลดการทำเกษตรเชิงเดี่ยว และฟื้นฟูพื้นที่ต้นน้ำ ปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ปัญหา PM2.5 และความผันผวนของซัปพลายกาแฟในระยะยาว ก็มีโอกาสคลี่คลายได้อย่างเป็นรูปธรรม


