ตลอดครึ่งแรกของปี 2025 ตลาดหุ้นโลกเผชิญแรงกระแทกพร้อมกันจากหลายด้าน โดยเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ซึ่งถือเป็นจุดที่สร้างแรงกดดันรุนแรงที่สุด หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ในวาระที่สอง เดินหน้านโยบายขึ้นภาษีนำเข้าอย่างจริงจัง สินค้าจากจีน เวียดนาม และประเทศในเอเชียหลายแห่งถูกตั้งกำแพงภาษีในอัตราที่สูงกว่า 30%
ผลกระทบไม่ได้จำกัดอยู่เพียงความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ แต่ลุกลามสู่ตลาดทุนโลก ดัชนีหุ้นหลักหลายแห่งปรับฐานลงในกรอบ -10% ถึง -20% ภายในเวลาอันสั้น สะท้อนความกังวลของนักลงทุนต่อผลกระทบเชิงโครงสร้างของสงครามการค้าที่อาจยืดเยื้อ
เมื่อ ‘ความกลัวเงินเฟ้อ’ ไม่ได้รุนแรงอย่างที่คิด
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ตลาดเริ่มปรับมุมมองต่อผลกระทบของนโยบายภาษีดังกล่าว ความกังวลว่าเงินเฟ้อจะกลับมาร้อนแรงอีกครั้งกลับไม่เกิดขึ้นในระดับที่ตลาดเคยประเมินไว้ ภาพรวมนี้ทำให้ Fed สามารถหยุด ‘โหมดตึงตัว’ และกลับมาให้น้ำหนักกับความเสี่ยงด้านการเติบโตมากขึ้น
จุดเปลี่ยนสำคัญคือ ตลาดเริ่มเชื่อมั่นว่า วงจรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน (Policy Easing Cycle) ยังไม่จบ และมีแนวโน้มต่อเนื่องไปถึงปี 2026
ตลาดปรับฐานปี 2025: ความเจ็บปวดที่จำเป็น
แรงเทขายในช่วงกลางถึงปลายปี 2025 ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในสหรัฐฯ แต่เป็นภาพที่เกิดขึ้นพร้อมกันในหลายตลาดทั่วโลก ข้อมูลจากการติดตามดัชนีหุ้นหลัก 13 แห่งของ BLS Wealth พบว่าตลาดมีการปรับฐานเฉลี่ยราว -8% ถึง -9%
แม้ในมุมของนักลงทุนระยะสั้นจะเป็นช่วงที่ตึงเครียด แต่ในเชิงโครงสร้าง การปรับฐานรอบนี้กลับมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วย
1. รีเซตระดับมูลค่า (Valuation Reset) ให้กลับมาอยู่ในจุดที่สมเหตุสมผล
2. ลดความเปราะบางของตลาด จากการล้าง Position ที่มี Leverage สูงและการเก็งกำไรเกินตัว
เมื่อความร้อนแรงถูกระบายออกไป ตลาดหุ้นโลกจึงเริ่มกลับสู่สภาวะที่ ‘แข็งแรงกว่าเดิม’ แม้ราคาจะยังไม่วิ่งแรง แต่ฐานของตลาดกลับมีเสถียรภาพมากขึ้นอย่างชัดเจน
ปี 2026: วัฏจักรฟื้นตัวเริ่มชัดจากภาคการผลิต
เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2026 ภาพเศรษฐกิจโลกเริ่มเปลี่ยนจากการ ‘ประคองตัว’ ไปสู่การ ‘ฟื้นตัว’ อย่างค่อยเป็นค่อยไป สัญญาณสำคัญมาจากภาคการผลิต โดยเฉพาะดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ (New Orders) ในสหรัฐฯ ยุโรป และจีน ที่เริ่มปรับตัวขึ้นพร้อมกัน
ดัชนีดังกล่าวถือเป็นสัญญาณนำที่มีความหมาย เพราะสะท้อนอุปสงค์ที่กำลังจะส่งผ่านไปยังการผลิต การจ้างงาน และการลงทุนในอีก 3 – 6 เดือนข้างหน้า การฟื้นตัวพร้อมกันของเศรษฐกิจหลักจึงตอกย้ำว่า โลกกำลังเข้าสู่รอบวัฏจักรใหม่ หลังชะลอตัวต่อเนื่องมากว่า 2 ปี
สิ่งที่แตกต่างจากรอบก่อนคือ การฟื้นตัวครั้งนี้ไม่ได้พึ่งพาการกระตุ้นเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการลงทุนเชิงโครงสร้าง ทั้งเทคโนโลยี AI การปรับห่วงโซ่อุปทาน และการกลับมาของภาคเอกชนในหลายประเทศ
กลยุทธ์การลงทุนปี 2026: เลือกความเสี่ยงอย่างมีคุณภาพในตลาดหุ้นโลก
สภาพแวดล้อมการลงทุนในปี 2026 มีแนวโน้มเอื้ออำนวยต่อตลาดหุ้นโลกมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากมีการผ่านการปรับฐานและระบายความเสี่ยงในปี 2025 การผ่อนคลายนโยบายการเงินและทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยหนุนทั้ง Valuation และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทำให้ตลาดหุ้นสามารถเดินหน้าต่อได้อย่างมีเสถียรภาพมากกว่าช่วงที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นที่ยังโดดเด่นในเชิงโครงสร้าง ได้แก่ สหรัฐฯ จีน และอินเดีย ซึ่งเหมาะสมที่จะเป็นแกนกลางของพอร์ตลงทุนสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลางถึงสูง โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ยังได้ประโยชน์โดยตรงจากการเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่คุณค่า AI และเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งคาดว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนกำไรบริษัทจดทะเบียนไปตลอดช่วงที่เหลือของทศวรรษนี้
การปรับฐานล่าสุดของดัชนีตลาดหุ้น

บทสรุป: จากปีแห่งความผันผวน สู่ปีแห่งความชัดเจน
แม้ในระยะสั้น ตลาดหุ้นโลกอาจยังเผชิญแรงพักตัวจากภาวะซื้อมากเกินไปเป็นระยะ แต่ในมุมมองเชิงโครงสร้าง การย่อตัวเหล่านั้นอาจเป็นเพียง ‘จังหวะพัก’ มากกว่าสัญญาณสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้น
ปี 2025 คือปีที่ตลาดถูกทดสอบด้วยความไม่แน่นอน ทั้งนโยบายการค้า อัตราดอกเบี้ย และสัญญาณเศรษฐกิจที่ขัดแย้งกัน ขณะที่ปี 2026 มีแนวโน้มเป็นปีที่ภาพการลงทุนเริ่มชัดเจนขึ้น ปัจจัยรบกวนลดลง และตลาดกลับมาให้รางวัลกับนักลงทุนที่มองภาพใหญ่และจัดพอร์ตอย่างมีวินัยอีกครั้ง
ในบริบทของโลกการลงทุนที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุค Multipolar World ซึ่งแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจกระจายตัวไปยังหลายภูมิภาค การพยายาม ‘จับจังหวะตลาดรายประเทศ’ อาจไม่ใช่กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดอีกต่อไป สิ่งที่สำคัญกว่าคือการเปิดรับโอกาสจากตลาดหุ้นหลักทั่วโลกอย่างสมดุล และสามารถปรับตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป
หนึ่งในทางเลือกที่ตอบโจทย์แนวคิดนี้ คือ DR Global Index ซึ่งเป็นพอร์ตการลงทุนที่กระจายไปยัง DR ชั้นนำ ครอบคลุมตลาดหุ้นสำคัญของโลก ทั้งสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เวียดนาม และภูมิภาคหลักอื่นๆ โดยมีการปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับภาวะตลาดอย่างเป็นระบบ ช่วยให้นักลงทุนสามารถมีส่วนร่วมกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในรอบใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องคอยติดตามหรือจับจังหวะตลาดด้วยตนเองตลอดเวลา
ในปีที่ทิศทางเริ่มชัด แต่ความผันผวนยังไม่หายไป การมีพอร์ตที่กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนก้าวผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านจากปี 2025 สู่ปี 2026 ได้อย่างมั่นคง และพร้อมรับโอกาสจากวัฏจักรการลงทุนรอบใหม่ที่กำลังเปิดฉากขึ้น อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ DR Global Index ได้ที่ https://www.bualuang.co.th/article/drglobalindex
ภาพ: sakchai vongsasiripat/Getty Images


