เข้าสู่ช่วงปลายปี สิ่งที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ นอกจากวันหยุดยาว อีกเรื่องก็คงหนีไม่พ้น ‘โบนัส’ เงินก้อนใหญ่ที่เป็นเหมือนรางวัลปลอบใจจากการทำงานหนักมาตลอด 12 เดือน
แต่ช้าก่อน ทันทีที่มีแจ้งเตือนเงินเข้า อย่าเพิ่งรีบโอนออก หรือกดสั่งซื้อของในตะกร้าออนไลน์จนหมด เพราะเงินก้อนนี้หากวางแผนผิด ชีวิตอาจสะดุด แต่ถ้าวางแผนถูก สถานะทางการเงินของเราจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
ได้เงินโบนัสมา อย่าเพิ่งรีบใช้จนหมด
ความรู้สึกรวยชั่วข้ามคืนตอนโบนัสออก มักทำให้เราเผลอตัวใช้จ่ายเกินความจำเป็น หรือที่เรียกว่า ‘กับดักรายได้ชั่วคราว’ เรามักคิดว่าเรามีเงินเยอะ แต่ลืมไปว่านี่คือเงินที่มาแค่ปีละครั้ง การรีบใช้เงินโดยขาดสติอาจทำให้เงินก้อนนี้ละลายหายไปภายในไม่กี่วัน และเหลือไว้เพียงความเสียดาย
ลองสูดหายใจลึกๆ แล้วมาดู 6 วิธีบริหารเงินโบนัสอย่างคุ้มค่า ที่จะช่วยให้เรารวยขึ้นจริง ไม่ใช่แค่รวยชั่ว
1. ปลดหนี้ คือ กำไรที่แน่นอนที่สุด
ก่อนจะคิดใช้เงินไปกับเรื่องอื่นๆ ให้นำโบนัสไป ‘โปะหนี้’ ก่อนอย่างแรก เพราะไม่มีการลงทุนไหนการันตีผลตอบแทน 20% ได้ แต่การโปะหนี้บัตรเครดิตทำได้ทันที
โดยเน้นปิดหนี้ที่มีดอกเบี้ยแพงที่สุดก่อน เช่น หนี้บัตรเครดิต หรือ สินเชื่อส่วนบุคคล (16-25%) หากเราปล่อยหนี้บัตรเครดิตค้างไว้ 10,000 บาท ผ่านไป 1 ปี อาจต้องจ่ายคืนเกือบ 12,000 บาท โดยไม่ได้อะไรกลับมาเลย การโปะหนี้จึงเหมือนการสร้างผลตอบแทนทันทีเท่ากับอัตราดอกเบี้ยนั้นๆ
ผลลัพธ์ที่ได้คือ ตัวเบาขึ้น สภาพคล่องต่อเดือนกลับมา และไม่ต้องเสียดายเงินที่ต้องจ่ายเป็นดอกเบี้ยฟรีๆ ให้ธนาคาร
Tip: เช็กเงื่อนไข ‘ค่าปรับการปิดหนี้ก่อนกำหนด’ กับธนาคารด้วยครับ สำหรับหนี้บ้านหรือรถ บางสัญญาถ้านำเงินก้อนไปโปะปิดบัญชีเลยก่อน 3 ปี อาจโดนค่าปรับได้ แต่สำหรับการโปะเพิ่ม (ไม่ได้ปิดยอดทั้งหมด) ส่วนใหญ่ทำได้ฟรีและจะไปตัดที่เงินต้นโดยตรง ทำให้หนี้หมดเร็วกว่ากำหนดหลายปี
2. เติมเงินสำรองฉุกเฉินให้เต็มถัง
หากปีที่ผ่านมาเราเคยเกิดอาการช็อต ต้องหยิบยืมเงินคนอื่นเวลาป่วย หรือรถเสีย นี่คือโอกาสดีที่จะอุดรูรั่วนั้น ให้ใช้โบนัสเติมบัญชีเงินสำรองให้เต็ม เพื่อสร้างเบาะรองรับทางการเงินที่ปลอดภัย เผื่อไว้สำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ ไม่ว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะเป็นอย่างไร เราจะอุ่นใจกว่าคนอื่นแน่นอน
เราควรมีเงินสดสำรองไว้อย่างน้อย 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายรายเดือน เก็บไว้ในบัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูงหรือกองทุนรวมตลาดเงิน หลายคนเข้าใจผิดว่าเอาเงินไปฝากประจำดีกว่า แต่สำหรับเงินฉุกเฉินสภาพคล่องสำคัญที่สุด เงินต้องถอนออกมาใช้ได้ทันทีเมื่อเจ็บป่วย หรือตกงาน
Tip: ยุคนี้ไม่ต้องฝากออมทรัพย์ธรรมดาที่ดอกเบี้ย 0.25% แล้ว แนะนำให้หาบัญชีออมทรัพย์ออนไลน์ของธนาคารต่างๆ ที่ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 1.5% – 2.0% (สำหรับวงเงินไม่เกินแสนแรก) สภาพคล่องสูงเหมือนเดิม แต่ดอกเบี้ยดีกว่าเกือบ 10 เท่า
3. จ่ายเบี้ยประกันชีวิต และประกันสุขภาพ
แทนที่จะผ่อนจ่ายเป็นรายเดือน ซึ่งมักทำให้เบี้ยประกันแพงขึ้น ให้กันเงินโบนัสส่วนหนึ่งไว้สำหรับ ‘จ่ายเบี้ยรายปี’ ก็จะช่วยเซฟค่าเบี้ยประกันของเราได้ เพราะการจ่ายรายปีมักจะถูกกว่ารายเดือน
ค่ารักษาพยาบาลมีอัตราเงินเฟ้อสูงถึง 8-10% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าเงินเฟ้อทั่วไปมาก การใช้โบนัสจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย จะช่วยปิดความเสี่ยงที่เงินเก็บหลักล้านจะหายไปเพราะการป่วยเพียงครั้งเดียว
Tip: เบี้ยประกันสุขภาพสามารถนำมา ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาท (เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท) การใช้โบนัสจ่ายส่วนนี้ จึงได้ทั้งความคุ้มครองและได้เงินภาษีคืนกลับมาด้วย
4. เติมเต็มแผนเกษียณ ติดสปีดพลังดอกเบี้ยทบต้น
ลองเข้าไปตรวจดูพอร์ตเกษียณของเรา (เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, ThaiESG หรือ RMF) ว่าปีนี้ยอดเงินเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่? ถ้ายังขาดอยู่ ใช้เงินโบนัสนี้สมทบเพิ่มเข้าไป ยิ่งใส่เงินต้นเร็ว พลังของดอกเบี้ยทบต้นจะยิ่งทำงานได้ดีขึ้น
และถ้าหากเราคำนวณภาษีแล้วพบว่าปีนี้ต้องจ่ายเพิ่ม ก็ถือโอกาสใช้เงินโบนัสซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี ซึ่งเราจะได้สิทธิประโยชน์ 2 เด้ง นอกจากจะมีเงินเก็บเพื่ออนาคตแล้ว ยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย เช่น ฐานภาษี 20% ซื้อกองทุน 10,000 บาท เท่ากับประหยัดภาษีไป 2,000 บาททันที
Tip: อย่าลืมเช็กสิทธิ์กองทุน ThaiESG (กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน) เงื่อนไขใหม่ที่ลดเวลาถือครองเหลือแค่ 5 ปี (จากวันที่ซื้อ) และวงเงินลดหย่อนแยกต่างหากสูงสุดถึง 300,000 บาท เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากสำหรับคนอยากลดหย่อนภาษีและถือไม่ยาวจนเกินไป
5. ต่อยอดการลงทุน ให้เงินทำงานแทนเรา
หลังจากปลดหนี้หมดแล้ว มีเงินสำรองเพียงพอแล้ว หากโบนัสยังเหลืออยู่ เงินก้อนใหญ่เริ่มเปิดพอร์ตลงทุน หรือ Rebalance พอร์ตเดิม เพื่อสร้างความมั่งคั่งทางการเงินระยะยาวได้
หากเป็นมือใหม่ หรือไม่มีเวลาเฝ้ากระดาน เครื่องมือที่ทรงพลังและได้รับการยอมรับจากนักลงทุนระดับโลก (รวมถึง Warren Buffett) ก็คือ กองทุนรวมดัชนี หรือ Index Fund ที่ลงทุนในหุ้นทุกตัวตามดัชนีตลาดนั้นๆ เพื่อทำผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับตลาดที่สุด
Tip: ค่าธรรมเนียมต่ำ คือ หัวใจสำคัญของ Index Fund เพราะเราไม่ได้จ้างผู้จัดการกองทุนมาบริหารเชิงรุก (Active) ดังนั้นก่อนซื้อ ให้เปิดหนังสือชี้ชวนดูส่วน ค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บจากกองทุนรวม ควรจะต่ำมากๆ (เช่น 0.1% – 0.5% ต่อปี) ยิ่งค่าธรรมเนียมต่ำ กำไรสุทธิก็จะตกถึงมือเรามากขึ้น
6. ลงทุนในตัวเราเองเพื่อเพิ่มมูลค่า
เงินโบนัสก้อนสุดท้ายนี้ อยากให้มองเป็นต้นทุนสำหรับการอัปเกรดเครื่องผลิตเงิน ซึ่งก็คือ ตัวเราเอง เพราะไม่มีการลงทุนไหนจะคุ้มค่าไปกว่าการทำให้ตัวเองเก่งขึ้นอีกแล้ว
ลองเจียดเงินโบนัสมาลงคอร์สเรียนทักษะใหม่ๆ ที่จำเป็นต่อสายงาน (เช่น ภาษาที่ 3, Data Analytics, หรือ AI Tools) หรือสอบใบเซอร์วิชาชีพดู เงินส่วนนี้ไม่ได้หายไปไหน แต่จะเปลี่ยนรูปไปเป็นทักษะติดตัว ที่จะช่วยอัปฐานเงินเดือน หรือเปิดประตูโอกาสใหม่ๆ
ส่วนการให้รางวัลตัวเอง เช่น ช้อปปิงหรือท่องเที่ยว แนะนำว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนใช้เงินโบนัสเพื่อเรื่องนี้ทันที จัดสรรเงินโบนัสให้กับ 5 ข้อแรกก่อน แล้วเมื่อมีเหลือเก็บค่อยจัดทริปหรือซื้อของให้รางวัลตัวเอง
ตัวอย่าง ถ้าเราได้โบนัส 50,000 บาท (สูตร 50-30-20)
เริ่มจาก ก้อนแรก 50% (25,000 บาท) เน้นความมั่นคงเป็นหลัก ให้รีบนำไปโปะหนี้ดอกเบี้ยสูงให้จบ หรือเติมเงินสำรองฉุกเฉินและจ่ายเบี้ยประกันให้ครบถ้วน
ต่อด้วย ก้อนลงทุน 30% (15,000 บาท) ส่งเงินไปทำงานต่อในกองทุนลดหย่อนภาษีหรือ Index Fund เพื่อปั้นพอร์ตให้โต และสุดท้าย ก้อนรางวัล 20% (10,000 บาท) แนะนำให้ลงทุนกับความรู้เพื่ออัปเงินเดือนตัวเองก่อน เหลือเท่าไหร่ค่อยนำไปกินเที่ยวให้รางวัลใจแบบพอดีตัว
ระวัง อย่าลืมภาษี
เรื่องตกม้าตายของหลายคนคือ ลืมไปว่า โบนัสถือเป็นเงินได้พึงประเมิน 40(1) ซึ่งต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปลายปี
โบนัสก้อนนี้อาจดันให้รายได้รวมของเรากระโดดไปตกใน ฐานภาษีที่สูงขึ้น (เช่น จาก 10% เป็น 15% หรือ 20%)
ก่อนใช้เงินหมดเกลี้ยง ให้คำนวณภาษีคร่าวๆ ไว้ก่อน หากต้องจ่ายภาษีเพิ่ม อย่าลืมกันเงินส่วนนั้นไว้ หรือนำเงินไปซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี เพื่อไม่ต้องควักเนื้อจ่ายภาษีตอนเดือนมีนาคม
เงินโบนัส ไม่ใช่แค่เงินสำหรับซื้อของขวัญ ให้ตัวเองในปัจจุบัน แต่คือเครื่องมือสำคัญที่จะซื้ออนาคตที่มั่นคง การวางแผนใช้เงินอย่างชาญฉลาดในวันนี้ จะทำให้เราสามารถขอบคุณตัวเองในปีหน้า และปีต่อๆ ไปอย่างแน่นอน
อย่าปล่อยให้โบนัสเป็นเพียงสายฝนที่ตกลงมาให้ชุ่มฉ่ำเพียงครู่เดียวแล้วระเหยหายไป แต่จงบริหารจัดการเปลี่ยนมันให้เป็นบ่อน้ำที่พร้อมหล่อเลี้ยงชีวิตเราได้ในระยะยาว
โปรดจำไว้ว่า ความมั่งคั่งไม่ได้วัดกันที่ว่าปีนี้ ‘หาเงิน’ มาได้เท่าไหร่ แต่มันวัดกันที่ว่า เราฉลาดที่จะ ‘รักษา’ และส่งต่อมันให้งอกเงยได้มากแค่ไหนต่างหาก ให้โบนัสปีนี้เป็นอิฐก้อนแรกที่สร้างรากฐานการเงินของเราให้แข็งแกร่ง
ภาพ: Deagreez/Getty Images
อ้างอิง:


