กำลังรู้สึกใช่ไหมว่างานที่เคยทำได้เสร็จในไม่ถึงชั่วโมง ตอนนี้กลับใช้เวลาเป็นวัน หรือขณะที่กำลังตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง รู้ตัวอีกทีก็นอนไถมือถือเล่นเสียแล้ว
นี่ไม่ใช่แค่ความขี้เกียจหรือไร้วินัยแต่คุณกำลังตกอยู่ในภัยเงียบที่กำลังกัดกินศักยภาพของคนทำงานทั่วโลก ที่มีชื่อว่า ‘Cheap Dopamine’ หรือ ‘โดปามีนราคาถูก’
🟡 โลกธุรกิจกำลังเผชิญ ‘วิกฤตคนวอกแวก’
รายงาน State of the Global Workplace 2024 โดย Gallup เผยว่า ภาวะที่พนักงานไม่มีใจจดจ่ออยู่กับงานเพราะถูกรบกวนด้วยอุปกรณ์และสื่อดิจิทัล กำลังสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกคิดเป็นมูลค่ามหาศาลถึง 8.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 9% ของ GDP โลก
สถานการณ์ในไทยก็น่ากังวลไม่แพ้กัน ข้อมูลจากสภาพัฒน์ (สศช.) ปี 2567 ชี้ว่าคนไทยกว่า 10 ล้านคน กำลังเผชิญปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งสัมพันธ์กับความเครียดและพฤติกรรมการเสพติดหน้าจอ สิ่งนี้นำไปสู่ภาวะหมดไฟและการลาออกที่สูงขึ้น โดยมีการประเมินว่าการลาออกของพนักงานระดับหัวหน้างานหนึ่งคน สร้างต้นทุนความเสียหายให้องค์กรสูงถึง 200% ของเงินเดือนต่อปี ทั้งค่าสรรหา ค่าเสียโอกาส และความรู้ที่ไหลออกไปจากองค์กร
🟡 เมื่อ 47 วินาที คือขีดจำกัดของสมาธิ
ศาสตราจารย์ ดร. กลอเรีย มาร์ค (Gloria Mark) ผู้เชี่ยวชาญด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และคอมพิวเตอร์ ค้นพบว่าในปี 2004 คนทำงานสามารถจดจ่อกับหน้าจอได้เฉลี่ย 2.5 นาที แต่ในปี 2024 ตัวเลขนี้ดิ่งลงเหลือเพียง 47 วินาที เท่านั้น ก่อนจะวอกแวกไปสนใจสิ่งอื่น และเมื่อสมาธิหลุดลอยไปแล้ว สมองต้องใช้เวลาเฉลี่ยถึง 23 นาที 15 วินาที กว่าจะกู้คืนสมาธิให้กลับมาจดจ่อในระดับเดิมได้
🟡 กำเนิด ‘สมองป๊อปคอร์น’ และกับดักความสุขเทียม
‘Cheap Dopamine’ คือความพึงพอใจรูปแบบสำเร็จรูปที่ได้มาทันทีโดยไม่ต้องออกแรง ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนจากโซเชียลมีเดีย คลิปสั้นบน TikTok หรือน้ำตาลจากชานมไข่มุก สิ่งเหล่านี้ทำให้สารเคมีในสมองพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และตกลงมาอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้สมองโหยหาการกระตุ้นระลอกใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิม
วงจรนี้ทำให้เกิด ‘Popcorn Brain’ หรือ ‘สมองป๊อปคอร์น’ หมายถึงสภาวะที่สมองคุ้นชินกับการถูกกระตุ้นด้วยข้อมูลมหาศาล จนความคิดกระโดดไปมาแตกกระจายเหมือนเมล็ดข้าวโพดคั่ว ทำให้เราสูญเสียความสามารถในการจดจ่อกับเรื่องเรียบง่ายในชีวิตจริงที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้ากว่าหน้าจอมือถือ
ดร. แอนนา เลมบ์เก (Dr. Anna Lembke) จิตแพทย์และผู้เขียนหนังสือ Dopamine Nation อธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อเราเสพติดความสุขง่ายๆ มากเกินไป สมองจะพยายามปรับสมดุลด้วยการสร้างความรู้สึกเจ็บปวดในรูปแบบของความเบื่อหน่าย หงุดหงิด และวิตกกังวล เพื่อกดระดับความสุขลง เราจะสูญเสียแรงจูงใจในการทำ ‘งานยาก’ ที่ต้องใช้ความอดทน เพราะสมองมองว่ามันไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับการไถหน้าจอ
🟡 ปฏิบัติการกู้คืนสมอง
ข่าวดีคือ สมองมนุษย์มีความยืดหยุ่น และเราสามารถกู้คืนระบบโดปามีนให้กลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ หากเรารู้วิธีที่ถูกต้อง
🧘 1. ระดับบุคคล: เปลี่ยนความสุขง่าย ให้เป็นชัยชนะที่แท้จริง ผู้เชี่ยวชาญอย่าง ดร. คาเมรอน เซปาห์ (Dr. Cameron Sepah) จิตแพทย์ผู้ริเริ่มแนวคิด ‘Dopamine Fasting’ หรือการอดโดปามีน แนะนำให้เราลอง ‘รีเซ็ต’ สมองด้วยการงดเว้นกิจกรรมที่กระตุ้นความสุขระยะสั้น เช่น การงดเล่นโซเชียลมีเดียหรือทานของหวาน ในช่วงเวลาสั้นๆ ของวัน เพื่อให้ตัวรับความรู้สึกในสมองฟื้นตัวและกลับมาไวต่อความสุขจากการทำงานปกติได้อีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน ดร. แอนดรูว์ ฮูเบอร์แมน (Dr. Andrew Huberman) นักประสาทวิทยาศาสตร์ชื่อดังจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เสนอให้เราสร้าง ‘Earned Dopamine’ หรือโดปามีนที่ได้จากความพยายาม ผ่านหลักการที่เรียกว่า Hormesis หรือการพาตัวเองไปลำบากเล็กน้อย เช่น การอาบน้ำเย็นจัด หรือการเลือกทำงานชิ้นที่ยากที่สุดเป็นสิ่งแรกของวัน เพราะความเจ็บปวดเล็กน้อยนี้จะกระตุ้นให้สมองหลั่งโดปามีนออกมาอย่างสม่ำเสมอและยั่งยืน โดยไม่เกิดอาการดิ่งวูบในภายหลัง
🧘 2. ระดับองค์กร: ออกแบบวัฒนธรรมที่เอื้อต่อสมาธิ องค์กรยุคใหม่ไม่สามารถผลักภาระให้พนักงานใช้ ‘วินัย’ ต่อสู้กับอัลกอริทึมเพียงลำพังได้ แนวทางแก้ไขเชิงโครงสร้างจากงานวิจัยของ MIT Sloan School of Management ชี้ให้เห็นว่า การประกาศนโยบาย ‘No-Meeting Days’ หรือวันที่ห้ามมีการประชุม เพียง 1 วันต่อสัปดาห์ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้สูงถึง 71% เพราะเป็นการคืนเวลาอันมีค่าให้พนักงานได้ดำดิ่งสู่การทำงานเชิงลึกอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ องค์กรชั้นนำยังเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับ ‘Right to Disconnect’ หรือสิทธิในการตัดขาดการสื่อสารนอกเวลางาน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่สวัสดิการทางใจ แต่คือการอนุญาตให้สมองของพนักงานได้ ‘ชาร์จแบตเตอรี่’ เพื่อให้พวกเขากลับมาทำงานในวันรุ่งขึ้นด้วยระดับโดปามีนที่สมบูรณ์ พร้อมสำหรับการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ
ถึงเวลาแล้วที่ทั้งคนทำงานและองค์กรต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติวิถีชีวิต หยุดวิ่งไล่ตามความพึงพอใจชั่วครู่ แล้วหันมาสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เอื้อต่อความสำเร็จระยะยาว เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความสุขจากการทำงานที่เสร็จสมบูรณ์ด้วยน้ำพักน้ำแรงนั้น ‘หอมหวานและยั่งยืน’ กว่ายอดไลก์บนหน้าจอหลายเท่าตัว


