บ่อยครั้งที่ความสัมพันธ์อันสวยงามระหว่างเพื่อนสนิท พี่น้อง หรือญาติมิตร ต้องมาสะดุดลงเพียงเพราะคำว่า ‘ขอยืมเงิน’
ด้วยพื้นฐานของความรักและความไว้วางใจ เรามักหยิบยื่นความช่วยเหลือให้โดยแทบไม่ลังเล เพราะเชื่ออย่างสนิทใจว่าคนกันเองย่อมไม่ทำร้ายกัน แต่เมื่อถึงกำหนดคืน สถานการณ์กลับตาลปัตร ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุม หรือแย่กว่านั้นคือการบ่ายเบี่ยงที่ทำให้คนให้ยืมต้องลำบากใจ
บทเรียนราคาแพงนี้สอนให้รู้ว่า เงินที่เสียไปอาจหาใหม่ได้ แต่ความรู้สึกและมิตรภาพที่พังทลายลงนั้นยากจะกู้คืน
ในโลกของการเงิน ธนาคารมีเกณฑ์การประเมินผู้กู้ที่เข้มงวดเพื่อป้องกันหนี้เสีย ซึ่งเราสามารถนำหลักการเดียวกันนี้มาปรับใช้ในชีวิตจริงได้ นี่คือหลักการ 5C of Credit เครื่องมือคัดกรองที่ช่วยให้เรามองเห็นความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ ก่อนที่เราจะตัดสินใจโอนเงินให้เพื่อนยืม
1. Character นิสัยใจคอและวินัยทางการเงิน
ด่านแรกที่สำคัญที่สุดไม่ใช่จำนวนเงิน แต่คือ ‘ตัวตน’ ของผู้ขอยืม ในทางจิตวิทยาการเงิน พฤติกรรมในอดีตมักเป็นตัวบ่งชี้พฤติกรรมในอนาคตได้ดีที่สุด การพิจารณา Character จึงหมายถึงการมองลึกลงไปถึงความซื่อสัตย์และการรักษาสัจจะ ลองสังเกตดูว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนรักษาคำพูดในเรื่องอื่นๆ หรือไม่
- ประวัติการผิดนัด
ลองนึกย้อนดูว่าเขาเคยผิดนัดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือไม่ เช่น นัดทานข้าว นัดส่งงาน หรือเคยยืมเงินจำนวนน้อยๆ แล้วทำลืมหรือคืนช้ากว่ากำหนดหรือไม่ พฤติกรรมในอดีตคือกระจกสะท้อนอนาคตที่ดีที่สุด
- ความโปร่งใส
เมื่อถูกถามถึงปัญหาการเงิน เขาเล่าความจริงทั้งหมด หรือพยายามปกปิด บ่ายเบี่ยง เล่าความจริงเพียงครึ่งเดียว? คนที่จริงใจจะกล้าเปิดเผยสถานการณ์ของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้เรามั่นใจ
- ไลฟ์สไตล์ที่ขัดแย้ง
สังเกตการใช้ชีวิตของเขาในโซเชียลมีเดียหรือชีวิตจริง หากเขายังทานอาหารหรู ซื้อของแบรนด์เนม หรือเที่ยวต่างประเทศ ในขณะที่มาขอยืมเงินเรา นั่นแสดงถึงทัศนคติทางการเงินที่บกพร่องอย่างรุนแรง
ความเป็นคนดีกับความเป็นลูกหนี้ที่ดีนั้นเป็นคนละเรื่องกัน ต้องมั่นใจว่าเขามีทัศนคติที่มองว่า ‘หนี้ต้องชำระ’ ไม่ใช่ ‘หนี้คือเงินที่ได้มาฟรี’
2. Capacity ความสามารถในการชำระหนี้
ความตั้งใจดีที่จะคืนเงินนั้นไม่เพียงพอ หากปราศจาก ‘ความสามารถ’ ที่จะหาเงินมาคืน ข้อนี้คือการประเมินความเป็นจริงทางเศรษฐกิจของเพื่อนอย่างตรงไปตรงมา เราต้องประเมินว่า ‘กระแสเงินสด’ ของเขาเพียงพอที่จะเจียดมาคืนเราหรือไม่ ไม่ใช่แค่ประเมินจากเงินเดือนรวม แต่ต้องดูเงินที่เหลือจริงหลังหักค่าใช้จ่าย
- แหล่งรายได้ที่แน่นอน
เขามีงานประจำที่มั่นคง หรือทำธุรกิจที่มีรายได้สม่ำเสมอหรือไม่? หากเขากำลังตกงานหรือรายได้ไม่แน่นอน ความเสี่ยงจะพุ่งสูงทันที
- ภาระหนี้เดิม
เขามีหนี้สินรุงรังอยู่แล้วหรือไม่ (เช่น บัตรเครดิตเต็มวงเงิน, กู้ธนาคาร, หนี้นอกระบบ) หากเขามีเจ้าหนี้หลายราย ต้องถามตัวเองว่า ‘เราเป็นเจ้าหนี้ลำดับที่เท่าไหร่?’ เพราะโดยธรรมชาติ คนมักจะเลือกจ่ายหนี้ที่มีดอกเบี้ยโหดหรือมีผลทางกฎหมายก่อนเพื่อนฝูงเสมอ
- แผนการคืนเงินที่เป็นไปได้
ลองถามเขาว่า ‘จะเอาเงินจากไหนมาคืน?’ ถ้าคำตอบดูเลื่อนลอย เช่น ‘เดี๋ยวคงหาได้’ หรือ ‘รอเงินก้อนนั้นก้อนนี้’ ถือว่าความเสี่ยงสูง คำตอบที่ดีต้องระบุที่มาของเงินชัดเจนและสมเหตุสมผล
การให้ยืมเงินไปถมในหลุมที่ไม่มีก้นบ่อ อาจไม่ใช่การช่วยเหลือแต่เป็นการยื้อเวลาปัญหาออกไปเรื่อยๆ
3. Capital ทุนทรัพย์และสายป่าน
ในทางการเงิน Capital หมายถึงส่วนทุนของผู้กู้ แต่ในบริบทของเพื่อนฝูง เราอาจมองในมุมของสายป่านหรือทรัพย์สินสำรองที่เขามี หากเกิดเหตุฉุกเฉินทำให้เขาไม่สามารถหาเงินสดมาคืนได้ตามนัด เขามีทรัพย์สินอื่นหรือเงินออมสำรองที่จะนำมาแปลงเป็นเงินสดเพื่อรับผิดชอบต่อหนี้ก้อนนี้หรือไม่
- เงินออมฉุกเฉิน
เขามีเงินเก็บสำรองบ้างไหม หรือใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือนตลอดเวลา? คนที่ไม่มีเงินเก็บเลยคือคนที่เปราะบางที่สุด
- ทรัพย์สินที่เปลี่ยนเป็นเงินได้
หากหาเงินสดมาไม่ทัน เขามีทองคำ หุ้น หรือทรัพย์สินมีค่าที่พร้อมจะขายเพื่อนำเงินมาคืนเราหรือไม่ หรือเขามีแต่ ‘หนี้สิน’ ที่มากกว่า ‘ทรัพย์สิน’
- สถานะทางธุรกิจ (ถ้ากู้ไปลงทุน)
หากเขายืมไปทำธุรกิจ ต้องมั่นใจว่าเขามีเงินทุนส่วนตัวลงไปด้วย ไม่ใช่จับเสือมือเปล่าโดยใช้เงินเรา 100% เพราะนั่นแปลว่าเราแบกรับความเสี่ยงแทนเขาทั้งหมด
คนที่กู้ยืมโดยไม่มีทุนสำรองเลย คือคนที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด หากเกิดลมเปลี่ยนทิศทางเศรษฐกิจเพียงนิดเดียว เขาจะล้มและดึงเราล้มไปด้วยทันที
4. Collateral หลักประกันความเสี่ยง
หากกู้ยืมกับธนาคาร ก็มักถูกเรียกหาหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่สำหรับเพื่อนฝูง การถามหาโฉนดที่ดินหรือเล่มรถอาจดูตึงเครียดเกินไป อย่างไรก็ตาม เราควรพิจารณาถึงหลักประกันบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ
- สัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษร
สำหรับเงินก้อนใหญ่ การทำสัญญากู้ยืมถูกต้องตามกฎหมายเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่เพื่อความตระหนี่ แต่เพื่อความชัดเจน สัญญาจะระบุดอกเบี้ย (ถ้ามี) และกำหนดการคืนที่แน่นอน ซึ่งใช้บังคับทางกฎหมายได้จริง
- สิ่งค้ำประกันทางใจหรือวัตถุ
ในบางกรณี อาจมีการขอเก็บของมีค่าบางอย่างไว้เป็นประกัน หรือขอให้มีคนค้ำประกัน (เช่น ญาติพี่น้องของเขา) หากเขาอิดออดที่จะให้หลักประกันทั้งที่ยืมเงินก้อนโต แสดงว่าเขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะคืนเราได้
- ผลกระทบทางสังคม
พิจารณาว่าเขากลัวการเสียชื่อเสียงหรือไม่? คนที่รักษาหน้าและเครดิตทางสังคมมักจะพยายามหาเงินมาคืนมากกว่าคนที่ไม่มีอะไรจะเสีย
การมีหลักฐานที่จับต้องได้จะช่วยเตือนสติลูกหนี้ว่า นี่ไม่ใช่เงินช่วยเหลือให้เปล่า แต่เป็นธุรกรรมที่ต้องมีการชำระคืน
5. Conditions เงื่อนไขและความจำเป็น
ปัจจัยสุดท้ายคือการมองบริบทแวดล้อมและวัตถุประสงค์ของการใช้เงิน การเข้าใจเหตุผลที่แท้จริงจะช่วยให้เราประเมินได้ว่า ความเสี่ยงนี้คุ้มค่าที่จะแบกรับเพื่อช่วยเหลือเพื่อนหรือไม่
ความจำเป็น vs. ความฟุ่มเฟือย
- น่าเห็นใจ: ค่ารักษาพยาบาล, ค่าเทอมลูก, อุบัติเหตุฉุกเฉิน
- ควรปฏิเสธ: ยืมไปแต่งรถ, ยืมไปปิดบัตรเครดิต (เพื่อรูดใหม่), ยืมไปลงทุนในแชร์ลูกโซ่หรือสิ่งที่เขาไม่มีความรู้
สภาพเศรษฐกิจ: ในช่วงที่เศรษฐกิจย่ำแย่ หรืออุตสาหกรรมที่เขาทำอยู่กำลังเป็นขาลง โอกาสที่เขาจะหาเงินมาคืนได้จะยากขึ้นไปอีกหลายเท่า
ความถี่ในการยืม: นี่เป็นครั้งแรก หรือเป็นนิสัย? หากเขายืมคนอื่นไปทั่วและหมุนเงินไม่จบไม่สิ้น การให้เงินเพิ่มไปไม่ใช่การช่วย แต่เป็นการ ‘เลี้ยงไข้’ ปัญหาการเงินของเขาให้ยืดเยื้อต่อไป
เรื่องเงินทองไม่เข้าใครออกใคร แม้เราอยากช่วยเหลือมิตรสหายยามยาก แต่ความใจกว้างนั้นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของสติและการปกป้องตัวเอง การใช้หลักการ 5C of Credit ไม่ใช่การมองเพื่อนในแง่ร้าย แต่เป็นการมองโลกตามความเป็นจริง การพูดคุยกันด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงตั้งแต่ต้น จะช่วยลดความขัดแย้งในอนาคต
ท้ายที่สุดแล้ว กฎเหล็กที่สำคัญที่สุดของการให้คนกันเองยืมเงินคือ ‘ให้ยืมเท่าที่เรายอมรับได้ว่าอาจจะไม่ได้คืน’ หากจำนวนเงินนั้นมากพอที่จะทำให้เราเดือดร้อนหากสูญเสียมันไป หรือมากพอที่จะทำให้เราต้องตัดขาดความเป็นเพื่อนเมื่อถูกเบี้ยวหนี้ การปฏิเสธอย่างสุภาพตั้งแต่วันนี้ อาจเป็นการรักษามิตรภาพให้ยืนยาวได้ดีกว่าการให้ยืมแล้วต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง
ภาพ: Francesco Carta fotografo/Getty Images
อ้างอิง:


