ก.ล.ต. อยู่ระหว่างการปรับเกณฑ์การออกและเสนอ ‘หุ้นกู้’ มีเป้าหมายหลักคือการสร้างความชัดเจนและโปร่งใสในการใช้เงินที่ระดมทุนได้จากหุ้นกู้ โดยกำหนดมาตรการลงโทษ หากฝ่าฝืน อาจถูกลงโทษ สั่งแบนหรือสั่งไม่ให้ออกหุ้นกู้ในอนาคต
ศาสตราจารย์ ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต. ให้ความสำคัญกับการกำกับหุ้นกู้ เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญในการระดมทุน โดยเลขาธิการ ก.ล.ต. ยืนยันว่า ตลาดตราสารหนี้ไทยมีขนาดใหญ่และมีความแข็งแกร่ง แต่สิ่งที่ ก.ล.ต. ไม่ต้องการเห็นคือ การใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ (Use of Proceed)
ทั้งนี้เพื่อแก้ไขประเด็นดังกล่าว ก.ล.ต. เตรียมปรับปรุงเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยมีเป้าหมายหลักคือการสร้างความชัดเจนและโปร่งใสในการใช้เงินที่ระดมทุนได้จากหุ้นกู้ โดยมีประเด็น ดังนี้
- ความชัดเจนในการใช้เงิน แม้ปัจจุบันผู้ออกหุ้นกู้จะต้องระบุวัตถุประสงค์การใช้เงินอยู่แล้ว แต่เกณฑ์ใหม่จะกำหนดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
- การจัดการเมื่อเปลี่ยนแผน หากผู้ออกต้องการเปลี่ยนวัตถุประสงค์การใช้เงินเนื่องจากความไม่แน่นอนทางธุรกิจ จะต้องกลับไป ขออนุมัติหรือขอสัตยาบัน หรือการรับรองย้อนหลัง จากผู้ถือหุ้นกู้ภายใต้ข้อกำหนดสิทธิ์
- มาตรการลงโทษ หากไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนด จะถือว่าเป็นการฝ่าฝืน และอาจถูกลงโทษทางวินัย (Discipline) เช่น การถูกแบนหรือสั่งไม่ให้ออกหุ้นกู้ในอนาคต
สำหรับเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินนี้ได้ผ่านการพิจารณาของบอร์ดแล้ว และคาดว่าอาจจะเริ่มกระบวนการรับฟังความคิดเห็น (Hearing) ภายในเดือนหน้า โดยการบังคับใช้อย่างเป็นทางการอาจอยู่ช่วง ปลายไตรมาส 1 ปีหน้า
“ก.ล.ต. ยังเตรียมจัดตั้ง Task Force ชุดที่ 2 หลังปีใหม่ เพื่อมุ่งเน้นการยกระดับตลาดตราสารหนี้โดยเฉพาะ รวมถึงการส่งเสริมความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ เช่น การจัดทำเกณฑ์ Transition Finance หรือ Transition Bond) ซึ่งจะเป็นเครื่องมือทางการเงินสำหรับบริษัทที่ต้องการเปลี่ยนผ่านธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน และเชื่อว่าจะมาช่วยตอบโจทย์การลงทุนในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงและต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมาก” ศาสตราจารย์ ดร.พรอนงค์กล่าว
เร่งรัดกระบวนการ IPO ดัน ‘More Disclosure Less Merit’
เลขาธิการ ก.ล.ต. ระบุว่า ก.ล.ต. กำลังดำเนินการเพื่อปรับปรุงเกณฑ์การระดมทุนเกี่ยวกับการออกและการออกและเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชน (IPO) ให้รวดเร็วขึ้น (Streamline) และลดภาระแก่บริษัท โดยเฉพาะการปรับลดบทบาทการกำกับในรูปแบบ Merit-based ในบางประเด็นที่มีกลไกออื่นมาทดแทน เช่นประเด็นการจัดโครงสร้างภายในของบริษัทซึ่งคาดว่าจะเกณฑ์เกณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่เสร็จออกมาได้ภายในปี 2569
แนวคิดหลัก คือ ‘More Disclosure, Less Merit’ ภายใต้การคุ้มครองผู้ลงทุนที่เหมาะสม โดยมีหลักคิด ดังนี้
- ลดภาระโครงสร้างที่ซับซ้อน จะลดการตรวจสอบเชิงลึกในเรื่องโครงสร้างบริษัทที่ซับซ้อน เช่น การจัดการความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (COI) ระหว่างบริษัทลูกและบริษัทแม่ โดยจะให้ความสำคัญกับการ เปิดเผยข้อมูล (Disclosure) ที่ชัดเจนแทน
- การโอนถ่ายความรับผิดชอบ การปรับเกณฑ์นี้จะทำให้ระยะเวลาในการพิจารณาโครงสร้างสั้นลง และเป็นการ เพิ่มอำนาจ และความรับผิดชอบไปยังบอร์ดบริษัทและผู้ทำหน้าที่ Gatekeeper เช่น FA และผู้สอบบัญชี (Auditor) มากขึ้น
นอกจากนี้ ก.ล.ต. มุ่งเน้นการสนับสนุนการระดมทุนของบริษัทในกลุ่มเศรษฐกิจเป้าหมาย (Target Growth Economy) เช่น EV หรือพลังงานสะอาด และกำลังพูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำเกณ์ IPO เพื่อรองรับกลุ่มธุรกิจที่เป็นTarget Growth Economy ของ BOI ซึ่งเป็นแนวคิด One-Stop Service เพื่ออำนวยความสะดวกให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมจาก BOI สามารถเข้าถึงตลาดทุนได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้คาดว่า Direction ของการปรับเกณฑ์ IPO สำหรับ BOI จะเริ่มเห็นชัดเจนภายในไตรมาส 1 ปีหน้า ส่วนการบังคับใช้เกณฑ์จริง คาดว่าจะเสร็จออกมาภายในปีหน้า
สำหรับบริษัทขนาดเล็กและ Startups ที่มีคุณภาพ ก.ล.ต. ยังคงส่งเสริมการระดมทุนผ่าน Crowdfunding Portal และการปรับปรุงแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น LiveX

ศาสตราจารย์ ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
สร้างความเชื่อมั่น บังคับใช้กฎหมายที่รวดเร็ว-การยกระดับ CG
ศาสตราจารย์ ดร.พรอนงค์ ยอมรับว่ารู้สึกไม่สบายใจกับสถานการณ์ที่เกิดกรณีการกระทำผิดในตลาดทุน แต่เน้นย้ำว่า ความเชื่อมั่น (Trust and Confidence) สร้างได้ยากมาก และยืนยันว่า ก.ล.ต. ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่กับผู้กระทำผิด
สำหรับในกรณีที่มีการกระทำผิด เช่น กรณี บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป JKN ซึ่งที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ใช้มาตรการทางกฎหมายทั้ง ทางแพ่ง และ ทางอาญา
โดยมาตรการทางแพ่ง มีระยะเวลาดำเนินการที่สั้นกว่า และส่วนใหญ่มุ่งไปที่การปรับและมาตรการแซงก์ชัน เช่น การจำกัดการเป็นกรรมการ
ในส่วนการลงโทษทางอาญากรณีทุจริต ก.ล.ต. จะทำการกล่าวโทษ จากนั้นจะเป็นกระบวนการของตำรวจ อัยการ และศาล ตามลำดับ
ผลักดัน TISA คาดเห็นรูปธรรมใน 2 เดือน
ประเด็นสำคัญที่ ก.ล.ต. กำลังผลักดันอย่างหนักคือ บัญชีออมทรัพย์เพื่อการลงทุนระยะยาว หรือ Thai Individual Saving Account (TISA) ซึ่งอยู่ในแผนของสำนักงานมาแล้ว 2 ปี และเพิ่งถูกนำมาอยู่ใน Task Force ร่วมกับภาคเอกชนเมื่อครึ่งปีที่ผ่านมา
โดยความคืบหน้าขณะนี้ ก.ล.ต. ได้หารือและมีความสอดคล้องกับกระทรวงการคลังแล้ว โดยคาดหวังว่าจะได้รับ สิทธิประโยชน์ทางภาษี (Tax Incentive) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญสำหรับโครงการลงทุนระยะยาวในประเทศไทย
เนื่องจากรัฐบาลชุดปัจจุบันต้องการเห็นผลงานที่เป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว (Q เลขาธิการ ก.ล.ต. จึงเชื่อว่า ภายใน 2 เดือนข้างหน้า จะได้เห็นความชัดเจนในกรอบของ TISA อย่างไรก็ตาม รายละเอียดทั้งหมดขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลัง
โดยวัตถุประสงค์ของISA มีเป้าหมายเพื่อสร้างการออมระยะยาว และส่งเสริมความอยู่ดีมีสุขของคนไทย (Wellness of people)
ตลท.จับ ก.ล.ต. เน้นการ ‘Disclosure-Based’ ลดเวลาทำ IPO
อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงทิศทางการทำงานล่าสุดว่า ตลท. ได้รับฟีดแบคและเห็นความเคลื่อนไหวในตลาดโลก ซึ่งส่งผลให้เกิดความต้องการให้กระบวนการ IPO เร็วขึ้น โดย ตลท. ทราบดีว่าตลาดในภูมิภาคหลายแห่งมีการ เข้ามาเชิญชวนและชักชวนบริษัทในประเทศไทย ให้ไปจดทะเบียนในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยสำคัญที่ ตลท. ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดคือ ความเร็วของขั้นตอน และ ความยากง่าย ในการเข้าสู่ตลาด
อัสสเดช ยกกรณีศึกษาของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจน้ำมะพร้าว ซึ่งตัดสินใจไปจดทะเบียนในฮ่องกง โดยระบุว่า บริษัทดังกล่าวมีรายได้หลักกว่า 90% มาจากประเทศจีน ซึ่งการไปจดทะเบียนในฮ่องกงอาจสมเหตุสมผล
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ ตลท. ต้องเรียนรู้และสังเกตจากกรณีดังกล่าวคือ ความเร็วในขั้นตอนการเข้าตลาด ของเคสนี้ ซึ่ง ตลท. ต้องนำมาวิเคราะห์ว่ามีส่วนใดที่สามารถปรับปรุงได้ เพื่อ ไม่ให้เสียโอกาสของตลาดไทย ขณะนี้ทีมงานกำลังพูดคุยกับหลายบริษัทที่อาจมีความคิดอยากจะออกไปจดทะเบียนนอกประเทศ
เป้าหมายลดระยะเวลาขั้นตอน IPO โดยไม่เพิ่มความเสี่ยง
อัสสเดชยืนยันว่า เป้าหมายที่ชัดเจนที่สุดคือ ลดระยะเวลา ในกระบวนการ IPO แต่สิ่งนี้ต้องมาพร้อมกับการควบคุมไม่ให้ มีความเสี่ยงต่อผู้ลงทุนมากขึ้น ซึ่งเป็นสองเป้าหมายที่ต้องสร้างสมดุล
ตลท. ให้ความสำคัญกับการมีบริษัทที่มี คุณภาพ เข้ามาจดทะเบียน และไม่ต้องการให้บริษัทที่คุณภาพไม่ดีเข้ามาเป็น ภัยต่อนักลงทุน การกำหนดเป้าหมายเวลาที่แน่นอนในตอนนี้จึงเป็นเรื่องที่ พูดได้ยาก เพราะกระบวนการที่เหมาะสมต้องขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของแต่ละธุรกิจ
หากเป็นธุรกิจที่ซับซ้อน จริงๆ ก็จำเป็นต้องใช้เวลาที่เหมาะสม เพื่อให้แน่ใจว่านักลงทุนมี ข้อูลที่เพียงพอในการตัดสินใจ ในทางกลับกัน หากเป็นธุรกิจที่มีการเปิดเผยข้อมูลดี และที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ทำงานถูกต้อง กระบวนการก็จะง่ายขึ้น
การปรับสู่ ‘Disclosure-Based’ และบทบาทของตัวกลาง
ตลท. กำลังทำงานร่วมกับสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อปรับแนวทางการกำกับดูแลไปสู่รูปแบบที่ เรียกว่า Disclosure-Based มากขึ้น ซึ่งเป็นการพัฒนาตามปกติของตลาดทั่วโลก
หัวใจสำคัญของการปรับเปลี่ยนครั้งนี้คือการ ให้ความรับผิดชอบอยู่กับตัวกลาง มากขึ้น ทั้งในส่วนของปรึกษาทางการเงิน (FA), นักกฎหมาย, และผู้สอบบัญชี (Auditor) มีหน้าที่รวบรวมและสื่อสาร ข้อมูลที่เพียงพอ ให้แก่นักลงทุน
อย่างไรก็ดีประเด็นที่ ตลท. ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นคือ การมีข้อมูลที่ผู้ประกอบการทราบแต่ไม่เปิดเผย
ส่วนการที่สำนักงาน ก.ล.ต. ต้องดำเนินการเองทุกอย่าง อาจถูกมองว่าเป็นการ ทำซ้ำซ้อน แต่หากตัวกลางทำงานไม่เหมาะสม ก็จะเกิดอันตรายได้
นอกจากนี้ ตลท. ยังกำลังพิจารณาการดึง เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ในขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้สามารถหาความสมดุลระหว่างความเร็วและความเสี่ยงได้

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
พิจารณาแก้เกณฑ์เฉพาะกลุ่ม BOI-Market Cap
ในส่วนของเกณฑ์การจดทะเบียน ตลท. กำลังดูความเป็นไปได้ในการ แก้ไขเกณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มที่มาลงทุนผ่าน BOI (Board of Investment)
อัสสเดชอธิบายว่า บริษัทที่มาลงทุนผ่าน BOI มักจะเข้ามาสร้างโรงงานหรือกำลังการผลิต ซึ่งอาจไม่ได้มีกำไรทันที แต่เกณฑ์ปัจจุบันกำหนดให้บริษัทต้องมี กำไรอย่างน้อย 3 ปี ก่อนจดทะเบียน ดังนั้น หากบริษัทเหล่านี้มีธุรกิจแม่ที่แข็งแกร่ง ตลท. กำลังดูว่าจะสามารถ เปลี่ยนแปลงเกณฑ์ เพื่อให้พวกเขาเข้าสู่ตลาดได้เร็วขึ้น โดยที่ยังไม่ต้องมีกำไรตามเกณฑ์ปัจจุบันได้หรือไม่
นอกจากนี้ ยังมีการทบทวนเกณฑ์ Market Cap ที่เดิมเน้นไปที่กลุ่ม Infrastructure และ Target Industry ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ประกาศใช้มาแล้ว 3 ปี แต่ ยังไม่เคยมีใครใช้เลย ตลท. ต้องกลับไปดูว่า เกณฑ์นี้ไม่ถูกใช้เพราะตลาดไม่มีธุรกิจที่เข้าเกณฑ์ หรือเพราะเกณฑ์ที่กำหนดไว้ยังไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกจุด
การปรับปรุงเกณฑ์ทั้งหมดต้องผ่านการพูดคุยและวิเคราะห์อย่างละเอียดเพื่อให้ สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ ที่จะเข้ามาจดทะเบียนด้วย
ก.ล.ต-ตลท. จับมือ OECD ประชุม OECD-Asia Roundtable on Corporate Governance 2025
ทั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้ร่วมกันจัดงานประชุม OECD-Asia Roundtable on Corporate Governance 2025 ซึ่งเป็นเวทีระดับภูมิภาคระหว่างประเทศในเอเชียและ OECD เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเชิงนโยบายด้านบรรษัทภิบาล การระดมทุนและความยั่งยืนของภาคธุรกิจ
โดยการประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 150 คน จาก 23 ประเทศ ประกอบไปด้วย ผู้บริหารระดับสูงและผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีในการกำกับดูแลกิจการและความยั่งยืนขององค์กร

บรรยากาศงาน “OECD-Asia Roundtable on Corporate Governance 2025”
ทั้งนี้ ภายในงานมีการเปิดตัว รายงานการศึกษาทบทวนตลาดทุนไทย (OECD Capital Market Review of Thailand 2025) บทวิเคราะห์เชิงลึกซึ่งมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการเสริมสร้างระบบนิเวศตลาดทุนไทยในแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ข้อเสนอแนะสำคัญโดยสังเขป ได้แก่
1. ยกระดับด้านบรรษัทภิบาลและความโปร่งใส (Enhancing Corporate Governance and Transparency) ส่งเสริมให้ผู้มีส่วนร่วมในตลาดทุนมีบทบาทความรับผิดชอบมากขึ้น ปรับปรุงคู่มือการกำกับดูแลกิจการที่ดี (CG Code) และแนวปฏิบัติที่ดีในการเปิดเผยข้อมูล และเสริมสร้างความเป็นอิสระของคณะกรรมการบริษัท รวมทั้งพัฒนาการกำกับดูแลธุรกรรมที่เกี่ยวโยงกันและการคุ้มครองผู้ถือหุ้นรายย่อย
2. ส่งเสริมการเข้าถึงและสภาพคล่องในตลาดทุน (Boosting Stock Market Access and Liquidity) เสนอให้มีการปรับขั้นตอนการอนุมัติ IPO ให้กระชับขึ้น อำนวยความสะดวกในการเสนอขายหุ้นในตลาดรอง (secondary offerings) และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดทุนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME)
ผ่านตลาดหลักทรัพย์ mai และ LiVEx รวมทั้งสนับสนุนงานวิจัยตลาดทุน
3. สนับสนุนการระดมทุนระยะยาวอย่างยั่งยืน (Long-Term and Sustainable Financing) ส่งเสริมการระดมทุนด้วยตราสารหนี้ภาคเอกชน ซึ่งรวมถึงตราสารเพื่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน พร้อมทั้งปรับปรุงขั้นตอนการพิจารณาคุณสมบัติผู้ลงทุนเพื่อเพิ่มความคุ้มครองผู้ลงทุน และสนับสนุนให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเข้าถึงตลาดตราสารหนี้ได้สะดวกยิ่งขึ้น
4. ยกระดับการระดมทุนของภาคเอกชน (Mobilizing Private Capital Markets) ส่งเสริมการลงทุนผ่านธุรกิจจัดการร่วมลงทุน (venture capital) และกิจการเงินร่วมลงทุน (private equity: PE) ปรับปรุงโครงสร้างกองทุนและการเสนอขายหลักทรัพย์แก่กรรมการหรือพนักงานบริษัทจดทะเบียน (ESOP) ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น รวมทั้งสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสนับสนุนธุรกิจใหม่
5. การขยายฐานนักลงทุนและเสริมสร้างเงินออมภาคครัวเรือน (Deepening the Investor Base and Strengthening Household Savings) OECD เสนอแนะให้มีการออกแบบโครงการออมเงินโดยขยายความคุ้มครองของเงินบำนาญ เพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ลงทุนสถาบันในตลาดทุน และส่งเสริมความรู้และทักษะด้านการเงินแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง


