หาดใหญ่ยังวิกฤต
หากไม่ปรับระบบสั่งการแบบบูรณาการ
ความช่วยเหลือจะไปไม่ถึงคนที่เดือดร้อนจริง
รศ.ดร.สามชาย ศรีสันต์ ประธานบริหารหลักสูตรบัณฑิตศึกษา วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า วิกฤตน้ำท่วมในอำเภอหาดใหญ่ครั้งนี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบจัดการภัยพิบัติที่ยังขาดการทำงานแบบบูรณาการและการสั่งการที่เป็นเอกภาพ
วิกฤตน้ำท่วมในอำเภอหาดใหญ่เวลานี้ไม่ใช่เพียงปัญหาน้ำล้นตลิ่งหรือฝนตกหนัก แต่คือสถานการณ์ฉุกเฉินที่ประชาชนจำนวนมากติดค้างอยู่ในบ้าน พื้นที่ชุมชนจมอยู่ใต้น้ำเป็นวงกว้าง เส้นทางคมนาคมหลายสายถูกตัดขาด ระบบไฟฟ้าและสัญญาณโทรศัพท์ในหลายจุดไม่สามารถใช้งานได้ ส่งผลให้การติดต่อขอความช่วยเหลือทำได้อย่างจำกัด บางครัวเรือนไม่สามารถเข้าถึงอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค และการดูแลด้านสุขภาพขั้นพื้นฐานได้อย่างต่อเนื่อง
สภาพดังกล่าวไม่ได้กระทบเพียงความเป็นอยู่ในระยะสั้น แต่ยังส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้พิการ รวมถึงความเสี่ยงด้านสุขอนามัย โรคระบาด และปัญหาสุขภาพจิตจากความเครียดและความไม่แน่นอนของสถานการณ์ หากการบริหารจัดการยังคงกระจัดกระจาย ย่อมเพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ประสบภัยบางกลุ่มถูกมองไม่เห็นและเข้าถึงความช่วยเหลือช้ากว่าที่ควรจะเป็น
ข้อเสนอของนักวิชาการธรรมศาสตร์ครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงคำแนะนำเชิงนโยบาย แต่คือหมุดหมายสำคัญในการปกป้องชีวิตประชาชน ให้สามารถเข้าถึงความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว เท่าเทียม และตรงจุด ลดความเสี่ยงที่ผู้ประสบภัยจะถูกหลงลืมในสถานการณ์ที่ทุกนาทีมีค่า
รวมศูนย์ข้อมูล-สั่งการเดียว ลดความซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพ
หนึ่งในภารกิจสำคัญของศูนย์บัญชาการฯ คือการจัดระบบช่องทางการสื่อสารให้เป็นเอกภาพ ทุกหน่วยงานที่เข้ามาช่วยเหลือต้องรายงานข้อมูลและสถานการณ์ต่อศูนย์กลาง เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์ ประมวล และจัดลำดับความเร่งด่วนก่อนสั่งการอย่างทั่วถึง ไม่ซ้ำซ้อน และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ปัจจุบันมีช่องทางการสื่อสารหลายรูปแบบ ทั้งผ่านแอปพลิเคชันของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รวมถึงเพจ Facebook ของหน่วยงานทหารและองค์กรต่างๆ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาการทำงานแบบแยกส่วนที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
จัดระบบโลจิสติกส์และลงทะเบียนหน่วยช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ
ศูนย์บัญชาการฯ ควรเร่งจัดระบบการขนส่งและกระจายสิ่งของจำเป็น รวมถึงจัดให้มีการลงทะเบียนหน่วยงานที่เข้ามาช่วยเหลือ เช่น ภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน เพื่อให้ทราบถึงความเพียงพอของทรัพยากร กำลังคน และความครอบคลุมของพื้นที่รับผิดชอบ
สิ่งของที่จำเป็นสำหรับผู้ประสบภัยไม่ได้มีเพียงอาหาร น้ำดื่ม และยารักษาโรคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรือ ส้วมเคลื่อนที่ อุปกรณ์ให้แสงสว่าง ที่ชาร์จแบตเตอรี่พลังงานแสงอาทิตย์ และถุงใส่สิ่งปฏิกูล ซึ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตในภาวะฉุกเฉิน
ส่วนกลางต้องประสาน อปท. ค้นหาผู้ประสบภัยในพื้นที่ห่างไกล
พื้นที่จำนวนมากยังขาดสัญญาณโทรศัพท์และถูกตัดไฟ ทำให้การเข้าถึงความช่วยเหลือเป็นไปอย่างยากลำบาก รัฐส่วนกลางจึงจำเป็นต้องทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งรู้จักพื้นที่ดีที่สุด เพื่อเร่งค้นหาผู้ประสบภัยในพื้นที่รับผิดชอบของตนเอง
รวมถึงการเตรียมและประกาศจุดศูนย์พักพิงรองรับผู้ประสบภัย โดยสามารถประยุกต์ใช้บทเรียนจากการตั้งศูนย์พักคอยในช่วงโควิด-19 ปี 2563 และศูนย์พักพิงช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี 2554
รายงานสถานการณ์รายวัน โปร่งใส เข้าถึงประชาชน
ศูนย์บัญชาการฯ ควรรายงานสถานการณ์น้ำท่วมให้ประชาชนรับทราบอย่างสม่ำเสมอในทุกวัน โดยควรประกอบด้วย
-สถานการณ์น้ำท่วมล่าสุด
-ความต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน
-จำนวนเคสและพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ (แสดงบนแผนที่)
-สถานะการได้รับความช่วยเหลือ
-แผนการดำเนินงาน และการคาดการณ์สถานการณ์ในวันถัดไป
เพราะการสื่อสารที่ชัดเจนจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและลดความตื่นตระหนกของประชาชน
วิกฤตชี้ความจำเป็นแผนรับมือน้ำท่วมระดับชุมชน
เหตุการณ์น้ำท่วมในสงขลาสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นของการมีแผนรับมือภัยพิบัติในระดับชุมชนและหมู่บ้าน โดยกระทรวงมหาดไทยควรผลักดันให้ทุกพื้นที่ที่เคยประสบอุทกภัยจัดทำแผนรับมือในระดับตำบล เทศบาล และบูรณาการเข้ากับแผนระดับจังหวัด พร้อมจัดสรรงบประมาณอย่างครอบคลุม และพิจารณาจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะด้านการจัดการภัยพิบัติน้ำท่วม
เตรียมอุปกรณ์และระบบช่วยเหลือฉุกเฉินล่วงหน้า
ควรมีการจัดหาและสำรองอุปกรณ์ช่วยเหลือในทุกพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม โดยเฉพาะพื้นที่พังพิง รวมถึงการเก็บข้อมูลครัวเรือนที่เคยถูกน้ำท่วมมากกว่า 1 เมตร เพื่อเตรียมความพร้อมอย่างเป็นระบบ
เมื่อเกิดเหตุ ควรเร่งอพยพผู้ป่วย ผู้สูงอายุ และผู้พิการไปยังพื้นที่ปลอดภัยที่มีการเตรียมพร้อมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ สถานที่ และอุปกรณ์ช่วยชีวิตเบื้องต้น
น้ำท่วมไม่ใช่แค่ปัญหาน้ำ แต่คือระบบทั้งสังคม
รศ. ดร.สามชาย ย้ำว่า ปัญหาน้ำท่วมไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการจัดการน้ำเท่านั้น แต่เกี่ยวข้องกับหลายมิติ ตั้งแต่การใช้ที่ดิน ระบบชลประทาน โลจิสติกส์ สภาพภูมิอากาศ การจัดการองค์กรชุมชน และระบบอาสาสมัคร
การเตรียมรับมือจึงไม่ควรเป็นเพียงการแจ้งเตือนล่วงหน้า แต่ต้องเป็นการเชื่อมร้อยการทำงานทุกภาคส่วนอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความยั่งยืนในการจัดการภัยพิบัติในระยะยาว


