×

ไทยอยู่ตรงไหนบนสมรภูมิโลกเดือด? มองบทสรุปของ COP30 กับ ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์

24.11.2025
  • LOADING...

จบไปแล้วสำหรับการประชุม COP30 ณ เมืองเบเล็ง ประเทศบราซิล ตั้งแต่วันที่ 10 – 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ท่ามกลางแรงกดดันของวิกฤตโลกเดือด และการถกเถียงอันเข้มข้น โดยไร้เงามหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ภายใต้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่ส่งผู้แทนมาเข้าร่วม
THE STANDARD ได้พูดคุยกับ ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ซึ่งได้เข้าร่วมการประชุม COP30 ในครั้งนี้ว่า บรรยากาศเป็นอย่างไร มีประเด็นอะไรน่าจับตามองบ้าง แล้วโอกาสของไทยอยู่ตรงไหน โดยเฉพาะกับคำถามที่ว่า ไทยพร้อมหรือยัง ในการวางหมุดหมายของตนเองบนโลกที่กำลังร้อนเกินรับไหว?

 

ย้อนมองบรรยากาศ COP30 และเหตุการณ์ ‘ไฟไหม้’ ปริศนา

 

ศ.ดร.ศิวัช เริ่มอธิบายว่า COP คือการประชุมด้านสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีความสำคัญสูงมาก โดยมีผู้นำระดับโลกเข้าร่วมทุกปี เช่น สหรัฐฯ (ในอดีต), จีน และรัสเซีย ซึ่งสิ่งแรกที่ถูกจับตามองมากในการประชุมครั้งนี้ คือ มาตรการรักษาความปลอดภัย เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับเหตุก่อการร้าย

 

อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมระบุว่า บรรยากาศตึงเครียดเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการรักษาความปลอดภัย ซึ่งแตกต่างจากการประชุมวิชาการนานาชาติที่ตนเคยเข้าร่วม เช่น มีทหารถือปืน M16 คอยรักษาการ หรือตรวจตราความเรียบร้อยทุกจุด

 

ขณะที่ท่าทีของผู้จัดงานต่อกลุ่มเคลื่อนไหว ดู ‘ขัดแย้ง’ กับความตั้งใจของ ลูลา ดา ซิลวา ประธานาธิบดีบราซิล ที่เคยประกาศว่า COP30 จะเป็นการประชุมสิ่งแวดล้อมที่เปิดกว้างและครอบคลุมกับคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะชนพื้นเมือง แต่ ศ.ดร.ศิวัช กลับพบว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไล่ชนพื้นเมือง ที่พยายามเข้ามาเรียกร้องสิทธิ หรือขายสินค้าพื้นเมืองออกจากพื้นที่

 

สำหรับเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ศ.ดร.ศิวัช อธิบายเหตุการณ์ว่า เขาปลอดภัยดี และบูธของประเทศไทยติดอยู่กับทางเข้า ซึ่งถูกใช้เป็นทางออกฉุกเฉิน ทำให้คนไทยในงานสามารถอพยพออกไปอย่างรวดเร็ว หากแต่สับสนเหตุการณ์เล็กน้อย เพราะมีคนตะโกนว่า ‘Fire’ ซึ่งแปลได้ทั้ง ‘ไฟไหม้’ หรือ ‘กราดยิง’ ก็ได้

 

อย่างไรก็ดี สาเหตุไฟไหม้ยังไม่แน่ชัด โดย UNFCCC (United Nations Framework Convention on Climate Change) แหล่งข่าวทางการของ COP30 ชี้แจงว่า ไม่ทราบสาเหตุ ขณะที่สำนักข่าว BBC ระบุจากปากคำของพยานว่า เป็นเพราะไฟฟ้าลัดวงจร

 

อนึ่ง ศ.ดร.ศิวัช ระบุว่า สื่อท้องถิ่นรายงานว่า เหตุไฟไหม้ครั้งนี้อาจเกิดจากการใช้ไฟฟ้าเกินขนาด เช่น ใช้ปลั๊กไฟชาร์จไฟหลายเครื่องเกินไป

 

COP30 คุยอะไรกันบ้าง?

 

สำหรับสาระสำคัญของการหารือ COP30 ในครั้งนี้ ศ.ดร.ศิวัช แบ่งออกเป็น 2 เรื่อง คือ การจัดตั้งกองทุน 1.5 องศาเซลเซียส และ Blue Carbon

 

1.การจัดตั้งกองทุน 1.5 องศาเซลเซียส – ศ.ดร.ศิวัช ระบุที่มาที่ไปว่า ประเด็นดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า อุณหภูมิโลกเกินค่าเฉลี่ยของข้อตกลงปารีส คือ 1.5 องศาเซลเซียล ซึ่งหมายถึง ‘ส่วนต่าง’ ค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิโลกในแต่ละปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุณหภูมิโลกในรอบ 1 ศตวรรษ

 

ศ.ดร.ศิวัช ขยายความประเด็น 1.5 องศาเซลเซียสนี้ว่า หมายถึงการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยในแต่ละปี โดยที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ตรวจวัดอุณหภูมิในทุกจุดบนโลกเพื่อหาค่าเฉลี่ยในทุกปี ซึ่งจะนำมาเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยอุณหภูมิโลก ที่คำนวณสะสมมาเป็นเวลา 100 ปี หรือ 1 ศตวรรษ (นับตั้งแต่เริ่มมีการตรวจวัด)

 

แต่ปรากฏว่า ค่าเฉลี่ยอุณหภูมิโลกในปีที่มีการสำรวจ สูงกว่าค่าเฉลี่ย 1 ศตวรรษ ซึ่งมีผลลัพธ์เป็นบวก นั่นหมายความว่า โลกกำลังร้อนขึ้น การแก้ไขปัญหาคือต้องควบคุมต้นเหตุ อย่างการปล่อยแก๊สเรือนกระจก เพื่อทำให้อุณหภูมิส่วนต่างไม่เกิน 1.5 องศาเซลเชียล

 

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือ ‘ปัญหาความเหลื่อมล้ำ’ ระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว กับประเทศด้อยพัฒนา เช่น ประเทศซีกโลกใต้ (Global South) อย่างฟิจิและตูวาลู เสี่ยงจมลงใต้ทะเลก่อนประเทศพัฒนา หรือแม้แต่ภูฏานที่มีตัวเลขการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นลบ แต่กลับเผชิญผลกระทบจากภาวะโลกเดือดอย่างรุนแรง เช่น น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก

 

แนวคิดการจัดตั้งกองทุนอย่าง Climate Finance จึงตามมา โดยมีหัวใจสำคัญ คือ การรวบรวมเงินมูลค่าราว 3 แสนล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 43 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2035 โดยให้กลุ่มประเทศที่ร่ำรวย ลงขันช่วยเหลือกลุ่มประเทศยากจน รวมถึงให้ความสำคัญกับประเทศที่มีความเสี่ยงสูงก่อน เช่น ประเทศหมู่เกาะในแปซิฟิก

 

ศ.ดร.ศิวัช ระบุว่า ในการประชุม COP 30 ที่เบเล็ง มีการหารือกองทุน Climate Finance อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น กลไกในการจัดสรรและติดตามประเมินผล เพื่อทำให้ทุกฝ่ายแน่ใจว่า เงินทุนจะถึงมือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง และไม่ถูกใช้ในทางที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือถูกแทรกแซงทางการเมือง

 

2. Blue Carbon – ศ.ดร.ศิวัช อธิบายว่า COP 30 มีการพูดถึงแนวคิดดังกล่าวยิ่งขึ้นมากกว่าการประชุมครั้งก่อนๆ ซึ่งจะช่วยทำให้ไทยจะ ‘ได้เปรียบ’ มากขึ้นบนเวทีโลกในประเด็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero

 

ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมเท้าความว่า แนวคิด Net Zero เป็นเป้าหมายที่ไทยได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ว่า ภายในปี 2050 ประเทศต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เหลือศูนย์ ซึ่งหมายถึงการสร้างตัวเลขสมดุลระหว่าง ‘แหล่งกำเนิด’ กับ ‘แหล่งดูดซับ’ เช่น หากประเทศใดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา 100 ล้านตันต่อปี ประเทศนั้นจะต้องประกาศว่า ตนเองมีแหล่งในการดูดซับกลับคืนได้ 100 ล้านตัน

 

ศ.ดร.ศิวัช ระบุว่า แต่เดิม การนับคาร์บอนเครดิต จำกัดแค่ ‘ต้นไม้ที่มีวงปี’ เท่านั้น หากแต่การประชุม COP30 มีการพูดคุยให้หยิบ Blue Carbon ขึ้นมาพิจารณาเป็นทางเลือก ซึ่งเป็นแนวทางที่มีศักยภาพในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านระบบนิเวศในทะเล และไทยมีทรัพยากรดังกล่าวเป็นจำนวนมาก

 

“ประเทศไทยได้เปรียบตรงจุดนี้ เพราะ Blue Carbon คือการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มาจากหญ้าทะเล ป่าชายเลน ไฟโตแพลงก์ตอน หรือสาหร่ายต่างๆ ที่อยู่ในอ่าวไทย หรือฝั่งอันดามัน” ศ.ดร.ศิวัชระบุ

 

อย่างไรก็ดี สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งมองว่า COP30 ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ควรจะเป็น โดย Reuters ระบุว่า การประชุมครั้งนี้ปิดฉากด้วย ‘ข้อตกลงอันน่าไม่พึงพอใจ’ เนื่องจากมีความเห็นไม่ลงรอยกัน โดยเฉพาะประเด็นการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

 

ทั้งนี้ โคลอมเบีย, ปานามา และอุรุกวัย ต้องการให้แถลงการณ์ COP30 พูดถึงเรื่องการเปลี่ยนผ่านเชื้อเพลิงฟอสซิล แต่กลับถูกประเทศผู้ส่งออกน้ำมันคัดค้าน ซึ่งแสดงให้เห็นถึง รอยร้าวและผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว ระหว่างประเทศที่ต้องการให้เปลี่ยนแปลง กับประเทศพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล

 

COP30 ใกล้ตัวกว่าคนไทยมากกว่าคิด

 

“ตอนนี้เรากำลังอยู่ในรถบัสที่วิ่งด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตร แล้วคนกำลังเหยียบไปถึง 130-150 กิโลเมตร เราเห็นอยู่แล้วว่า หายนะมันมาแน่ๆ”

 

คือคำตอบของ ศ.ดร.ศิวัช เมื่อถามว่า ประเทศไทยเกี่ยวข้องกับการประชุม COP30 อย่างไร โดยเปรียบเปรยว่า หายนะโลกเดือดกำลังจะมาถึงตัวอย่างแน่นอน ดังนั้นทุกคนจึงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า การประชุมครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน

 

อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมอธิบายว่า ไม่ใช่แค่ภาวะอากาศร้อนเกินไป หรือฝนตกหนัก จนน้ำท่วมที่กระทบการใช้ชีวิตของผู้คน เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ภูมิอากาศถือเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความเป็นไปในการสร้างอารยธรรม จนมีคำกล่าวที่ว่า ‘เมื่อลมเปลี่ยน อารยธรรมก็ดับ’ เช่น อารยธรรมโบราณหลายแห่งล่มสลาย เพียงเพราะขาดน้ำทำการเกษตร

 

“ไทยไม่ยุ่งเกี่ยวกับ COP30 ไม่ได้ เพราะนี่คือเวทีโลกที่นานาประเทศ มาคุยมาตกลงในทิศทางเดียวกันว่า จะไปอย่างไรต่อ เพราะทุกคนได้รับผลกระทบ และมีส่วนเกี่ยวข้องต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหมือนกันหมด

 

“สิ่งที่คนไทยจำเป็นจะต้องรู้จากการประชุม COP30 ก็คือทิศทางของโลกว่า จะไปอย่างไรต่อ แล้วประเทศไทยมีจุดยืนอะไรบนเวทีโลก แล้วใครจะต้องได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์”

 

ศ.ดร.ศิวัช มองว่า ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ เรื่องภาวะโลกเดือดก็เช่นกัน เช่น รัสเซียเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์จากวิกฤตดังกล่าว เพราะความร้อนทำให้น้ำแข็งบนพื้นที่ของรัสเซียละลาย ซึ่งประเทศสามารถทำการเกษตรได้

 

อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมย้อนกลับมาตั้งคำถามต่อว่า แล้วประเทศไทยมีการคิดอย่างจริงจังหรือไม่ว่า เราสามารถมองหา ‘ประโยชน์’ ท่ามกลางจากวิกฤตได้ เช่น การสร้างธุรกิจและอาชีพใหม่ๆ เพื่อรองรับผลกระทบจากภาวะโลกเดือด เหมือนกับที่ COVID-19 ก่อให้เกิดธุรกิจส่งอาหาร หรือรูปแบบการประชุมออนไลน์ในแบบทุกวันนี้

 

“สมมติถ้าเกิดน้ำท่วมต่อไปเรื่อยๆ ต่อไปบ้านของคนไทยต้องเป็นบ้านแบบไหน ตอนนี้ ต่างชาติเขามีการคิดค้นบ้านลอยน้ำ ซึ่งดีมากด้วย”

 

ศ.ดร.ศิวัช ยังทิ้งท้ายว่า ไทยต้องปรับตัว (Adaptation) ให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง ไปพร้อมกับบรรเทาผลกระทบ (Mitigation) เพราะต่อให้ประเทศไทยไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่โลกก็ร้อนขึ้นอยู่ดี ซึ่งภาวะดังกล่าวไปไกลมาก จนไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีกแล้ว

 

ภาพ: Anderson Coelho / Reuters

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising