×

ผู้ว่าแบงก์ชาติ เดินหน้า สกัด ‘ทุนเทา’ กลับมาใช้กฎหมายเข้ม สั่งแบงก์ต้องรายงานธุรกรรมการเงินเข้าข่ายต้องสงสัย ชงเรื่องต่อ ปปง.

24.11.2025
  • LOADING...
bot-grey-capital-gold-regulation-new-role-thailand

ผู้ว่าแบงก์ชาติ ชี้แจงถึงความเข้าใจผิดเรื่องบทบาทในการจัดการปัญหา ‘ทุนเทา’ ยืนยัน ธปท. ไม่ได้มีข้อมูลธุรกรรมเงินบาทโดยตรงตามกฎหมายปัจจุบัน พร้อมประกาศขยายอำนาจกำกับดูแลไปยังภาคส่วนที่ไม่ใช่ธนาคารและธุรกรรมทองคำ เพื่ออุดช่องโหว่ปัญหาการเงินผิดกฎหมาย

 

วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงแนวทางการจัดการปัญหาทุนเทาที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยยอมรับว่าที่ผ่านมา ยังมีความเข้าใจผิดในบทบาทของ ธปท. ว่าทำไมจึงไม่ควบคุมดูแล Flow ของเงินบาทและปัญหาบัญชีม้า

 

ทั้งปัจจุบัน ตามกฎหมายปัจจุบันยังมีข้อจำกัด เพราะข้อมูลการโอนเงินบาททั้งหมดในประเทศไม่ว่าระหว่างบุคคลหรือบริษัท ไม่ถูกส่งมายัง ธปท. โดยข้อมูลธุรกรรมต้องสงสัย (STR) เช่น ฝากเงินสดเกิน 2 ล้านบาท จะถูกรายงานตรงไปยัง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพียงแห่งเดียวเท่านั้น

 

ดังนั้น ธปท. จะดำเนินการเพิ่มขึ้นใน 2 มิติ ดังนี้

 

  1. เพิ่มการมองเห็นข้อมูลเส้นทางเงินต้องสงสัย ด้วยการใช้กฎหมาย เกณฑ์ที่มีอยู่ คือ พ.ร.บ. สถาบันการเงิน และ พ.ร.บ. ระบบการชำระเงิน ที่ไม่ได้ถูกใช้มานาน กลับเข้ามากำกับดูแลในบางเรื่อง เพื่อเพิ่มการมองเห็นข้อมูลเส้นทางเงินต้องสงสัย โดยเข้าไปกำกับให้สถาบันการเงินส่งข้อมูลธุรกรรมตามเงื่อนไขที่ ธปท. กำหนด เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและป้องกันไม่ให้ภาคการเงินถูกใช้เป็นช่องทำทุจริต เช่น กรณีมีเงินก้อนใหญ่ถูกโอนเข้าและออกเกือบจะทันที หรือบัญชีที่ปรากฏอยู่บนเว็บไซต์พนันออนไลน์ โดยเน้นแพทเทิร์นการทำธุรกรรมผิดปกติแบบ ยกตัวอย่างกรณี เช่น 

 

  • บัญชีที่มีเงินก้อนใหญ่โอนเข้า 1 ล้านบาท และโอนออกเกือบจะทันที
  • การโอนเงินกระจัดกระจายเข้ามาในช่วงกลางคืนที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์

 

โดยจะเป็นข้อมูลเพื่อดำเนินการต่อหรือส่งข้อมูลเพื่อสนับสนุนการทำงานของปปง. ในการดำเนินการต่อไป​

 

  1. ยกระดับการกำกับดูแลและการรู้จักลูกค้าของผู้ใต้กำกับ เช่น 

 

  • สำหรับธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยจะออกหลักเกณฑ์ยกระดับการทำความรู้จักลูกค้า (KYC/CDD) ให้เข้มข้นขึ้น เพื่อจับจุดเสี่ยงและจัดการได้เร็ว รวมทั้งนำมาใช้ยกระดับการป้องกันต่อไป
  • สำหรับผู้ให้บริการ e-Wallet และ Money Transfer Agent ยกระดับการกำกับดูแลเทียบเท่า ธพ. เช่น มี customer profiling ตรวจสอบระบบการตรวจจับธุรกรรมต้องสงสัย และ enforce เมื่อพบว่าผู้ให้บริการเกี่ยวข้องกับการทำผิดกฎหมาย
  • สำหรับ Money Changers จะเพิ่มคุณภาพและความสามารถของผู้ให้บริการในการติดตามตรวจสอบธุรกรรมผิดปกติ รวมทั้งกำหนดมาตรฐานการให้บริการลูกค้าเพิ่มเติม 

 

เปิดแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับธุรกรรมทองคำ

 

สำหรับธุรกรรมทองปัจจุบันมีผลกระทบต่อค่าเงินค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการซื้อขายทองคำเป็นเงินบาท ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เงินบาทมีความผันผวนเพิ่มขึ้นในบางช่วง

 

ขณะที่การซื้อขายทองคำด้วยสกุลเงินบาทส่งผลให้ร้านทองต้องบริหารความเสี่ยง (Square position) ทั้งการทำธุรกรรมทองคำกับต่างประเทศ และการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FX)

 

โดยปัจจุบัน ธปท. มีข้อมูลของร้านทองเฉพาะกรณีที่ร้านทองทำธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FX) กับ ธพ. ในประเทศ แต่ไม่มีข้อมูลหากร้านทองซื้อขายทองคำกับตลาดต่างประเทศ การทำธุรกรรม FX ผ่านบริษัทในเครือในต่างประเทศ รวมทั้งกรณีทำธุรกรรมด้วย crypto currency

 

ธปท. จึงอยู่ระหว่างการปรับประกาศกระทรวงการคลัง เพื่อให้ได้ข้อมูลมากขึ้นเพื่อติดตามผลกระทบต่อค่าเงิน และกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องให้ตรงจุดต่อไป

 

ในส่วนของ พ.ร.ก. ไซเบอร์ ที่กำหนดให้ธนาคารที่ดูแลไม่รอบคอบต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายนั้น ธปท. ได้ออกเกณฑ์สำหรับสถาบันการเงินแล้ว และกำลังจะออกเกณฑ์เพิ่มเติมสำหรับผู้ประกอบการ E-wallet ในเร็วๆ นี้

 

ผู้ว่าการ ธปท. ยอมรับว่า ธุรกิจซื้อขายทองคำเป็นอีกประเด็นที่ ธปท. ไม่มีอำนาจกำกับดูแล และธุรกรรมทองคำมีผลกระทบต่อค่าเงินบาทค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการซื้อขายทองคำเป็นเงินบาท ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนเพิ่มขึ้นในบางช่วง

 

โดยแม้การซื้อขายทองคำส่วนใหญ่อยู่บนแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มของบริษัทขนาดใหญ่ แต่ ธปท. ไม่เห็นข้อมูลธุรกรรมเหล่านี้ จะเห็นเฉพาะกรณีที่ร้านทองทำธุรกรรมซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศ (FX) กับ ธพ.ในประเทศ เพื่อทำการ Square Position บริหารความเสี่ยง เท่านั้น

 

ขณะที่ยังมีช่องโหว่สำคัญคือ หากร้านทองหรือบริษัททองคำไปทำธุรกรรม FX กับธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศ (Offshore Market) รวมถึงการทำธุรกรรมด้วย Crypto Currency ธปท. ก็จะไม่เห็นข้อมูล

 

สำหรับแนวทางการแก้ไข ธปท. จึงอยู่ระหว่างการ ปรับประกาศกระทรวงการคลัง และจะใช้ พระราชบัญญัติซื้อขายเงินตราต่างประเทศ เข้าไปขอและดูข้อมูลบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม FX ที่เกี่ยวเนื่องกับการซื้อขายทองคำ เพื่อติดตามผลกระทบต่อค่าเงินและกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องให้ตรงจุดต่อไป

 

แบงก์ชาติ เร่งกลไกใหม่ค้ำประกันสินเชื่อ 1 แสนล้าน อุ้ม SME 

 

วิทัย ยังกล่าวถึง อีกปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญเฉพาะจุดที่ ธปท. กำลังดำเนินการแก้ไข คือ การเติบโตติดลบของสินเชื่อ SME ต่อเนื่องมาถึง 13 ไตรมาส และสินเชื่อธุรกิจโดยรวมติดลบ 5 ไตรมาส ซึ่งเกิดจากสองสาเหตุหลักคือ เศรษฐกิจที่ไม่ดี และการที่สถาบันการเงินระมัดระวังตัวและไม่ปล่อยสินเชื่อ เนื่องจาก ต้นทุนความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Cost) สูง

 

“ในการประคับประคองเศรษฐกิจปัจจุบันให้ไปต่อได้ จำเป็นต้องมีกลไกที่ช่วยแชร์ความเสี่ยงกับสถาบันการเงินให้สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่แก่ธุรกิจที่มีศักยภาพได้มากขึ้นเพื่อให้เป็น Engine of Growth ของเศรษฐกิจ” วิทัยระบุ

 

ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหา Credit Cost ธปท. จึงได้ร่วมมือกับ กระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย ในการออกแบบและสร้างกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ SME ใหม่ขึ้นมา โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้

 

  • แหล่งเงินทุนและเป้าหมายคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 20,000 ล้านบาท จากการนำเงินที่ได้จากการปรับลด FIDF Fee มาตั้งเป็นกองทุนเพื่อชดเชยความเสียหายด้านเครดิต ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนความเสี่ยง และคาดว่าจะสามารถสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อใหม่ได้รวมมูลค่าประมาณ 100,000 ล้านบาท
  • การออกแบบที่เน้นประสิทธิภาพ (Targeted & Flexible) โดยกลไกนี้ถูกออกแบบให้ ตรงจุด เน้นการให้สินเชื่อใหม่แก่ SME ใน Sector ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ที่มีความสามารถในการแข่งขัน หรือปรับตัวให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย เช่น เกษตรและอาหารแปรรูป, ค้าส่ง, ค้าปลีก, โรงแรม, Wellness, EV

 

อีกทั้งการกระจายให้ทั่วถึง โดยพิจารณากำหนดวงเงินสูงสุดต่อรายเพื่อกระจายให้กับผู้ประกอบการได้อย่างเหมาะสม คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 50-100 ล้านบาท

 

โดยมีกลไกการค้ำประกันออกแบบโครงสร้างจะมีความ Simplify กว่ากลไกของ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยจะเป็นลักษณะของโควต้า หรือรูปแบบ first come first served ที่ทำให้ธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการได้รับการลดความเสี่ยงด้านเครดิตลง (Credit Cost)

 

โดยวงเงินชดเชยสูงสุด (Max Claim) คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 10-30% ซึ่งจะมีการกำหนดเงื่อนไขไว้ เช่น

  • สินเชื่อที่มีหลักประกัน อาจใช้การค้ำประกัน 10%
  • สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน อาจใช้การค้ำประกันสูงถึง 30% เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อ

 

สำหรับโครงการนี้อยู่ระหว่างการหารือและจัดทำรายละเอียด โดยมีความคาดหวังว่าโครงสร้างทั้งหมดจะจบลง ภายในสิ้นปีนี้ และเริ่มดำเนินงานได้ในปีหน้า 

 

ทั้งนี้เป็นมาตรการดังกล่าวนี้เป็นมาตรการการแก้ปัญหาต่อเนื่องเฉพาะจุดที่ก่อนหน้านี้ ธปท. ได้ประกาศมาตรการเฉพาะจุดเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญ คือ มาตรการ การโอนหนี้เสีย (NPL) ของครัวเรือนรายย่อยจำนวน 1.6 ล้านบัญชี โดยมีมูลค่าหนี้ไม่เกิน 100,000 บาท เข้าสู่การบริหารจัดการของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (SAM)

 

โดยคาดหวังว่า 5-8 แสนราย จากจำนวนดังกล่าว จะหลุดพ้นจากการเป็นหนี้เสียและกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ โครงการได้ประกาศไปแล้วและอยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยคาดการณ์วันที่จะตัดโอนบัญชีทั้งหมดได้คือ วันที่ 1 มกราคม

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising