จีนผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจที่มีอิทธิพลทั้งในการเมืองระหว่างประเทศและเศรษฐกิจของโลก แต่ไม่ใช่ด้วย Hard Power เท่านั้น แต่จีนกำลังสร้างอนาคตผ่าน ‘Soft Power’ ผ่านเรื่องเล่าและเรื่องราวต่างๆ แบบจีน แต่มีคำถามว่าจีนทำได้อย่างไร ในเมื่อจีนเคยถูกปรามาสว่าเป็นเพียง ‘โรงงานผลิตสินค้าของโลก’
คำตอบคือ ศิลปะวัฒนธรรมที่สร้างอัตลักษณ์แบบจีน ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากอดีตกาล ซึ่งบทความนี้จะพาทำความเข้าใจอัตลักษณ์แบบจีนที่ทำให้จีนกลายมาเป็นโรงงานผลิตวัฒนธรรมของโลก
รากเหง้าและความต่อเนื่อง: ปักกิ่ง เมืองแห่งอดีตสู่อนาคต
หากจะหาตัวอย่างที่แสดงให้เห็นการผสานอดีตเข้ากับปัจจุบันได้อย่างลงตัว ปักกิ่ง คือภาพสะท้อนที่ชัดที่สุด เมืองหลวงของจีนแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3,000 ปี เคยเป็นศูนย์กลางการปกครองของหลายราชวงศ์ และยังคงเป็นศูนย์กลางการบริหารประเทศในปัจจุบัน แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ ปักกิ่งไม่ได้ถูกตรึงไว้ด้วยอดีตเพียงอย่างเดียว เมืองนี้ถูกออกแบบให้ ‘เติบโตไปข้างหน้า’ โดยไม่ละทิ้งรากฐานของตัวเอง
หนึ่งในสัญลักษณ์ของการผสานอดีตกับอนาคต คือ หูท่ง (胡同) ตรอกซอยเก่าแก่ที่รายล้อมปักกิ่งชั้นใน แต่ละซอยเต็มไปด้วยบ้านเรือนโบราณที่บอกเล่าเรื่องราวของผู้คน ปัจจุบันรัฐบาลปักกิ่งไม่ได้เลือกจะรื้อถอนหูท่งเหล่านี้เพื่อสร้างตึกสูงทันสมัย แต่กลับเลือกที่จะบูรณะและเติมความมีชีวิตชีวาใหม่ๆ ให้กับพื้นที่ ตรอกเก่าหลายแห่งถูกปรับเป็นแหล่งรวมร้านกาแฟ ศูนย์ศิลปะ และสตูดิโอออกแบบ เกิดเป็น Creative Hub ที่เชื่อมคนรุ่นใหม่เข้ากับรากเหง้าของตนเอง
อีกหนึ่งพื้นที่ที่สะท้อนแนวคิดนี้อย่างชัดเจนคือ ร้านหนังสือในปักกิ่ง ที่ถูกเปลี่ยนบทบาทจากพื้นที่ขายหนังสือธรรมดา กลายเป็น Cultural Space ที่ผสมผสานงานดีไซน์ร่วมสมัยเข้ากับบรรยากาศดั้งเดิม ร้านหนังสือเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงชั้นวางหนังสือ แต่ยังมีพื้นที่จัดกิจกรรมเสวนา นิทรรศการ และการแสดงศิลปวัฒนธรรม ทำให้ “ร้านหนังสือ” ไม่ได้เป็นเพียงที่ซื้อของ แต่เป็นสถานที่ที่ผู้คนเข้าไปสัมผัสประสบการณ์ทางวัฒนธรรมร่วมกัน
และหากพูดถึงการพลิกโฉมประวัติศาสตร์ให้อยู่ในรูปแบบสินค้าร่วมสมัย คอลเล็กชันลิปสติกของกู้กง (พระราชวังต้องห้าม) คงเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าจดจำที่สุด เปิดตัวในปี 2018 คอลเล็กชันนี้ใช้ลวดลายและสัญลักษณ์จากเครื่องใช้ในราชสำนักหมิงและชิงมาตีความใหม่ กลายเป็นลิปสติกดีไซน์หรูหราที่คนรุ่นใหม่หลงรัก ผลลัพธ์คือขายหมดกว่า 100,000 แท่งในเวลาเพียง 4 วัน ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความสำเร็จทางการตลาด แต่คือการพิสูจน์ว่าประวัติศาสตร์สามารถกลายเป็น สินค้าที่จับต้องได้ และสร้างไวรัลในโลกดิจิทัล ได้เช่นเดียวกัน
ประสบการณ์คือหัวใจ: การตลาดวัฒนธรรมจากเสฉวน
การพัฒนาอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงปักกิ่ง มณฑลเสฉวนเป็นอีกตัวอย่างที่น่าสนใจ รัฐบาลท้องถิ่นลงทุนสร้างเขตอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่รวมทั้งศิลปะ บันเทิง และอาหารเข้าด้วยกัน ผลลัพธ์ที่กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์จีนคือ เค้กรูปหมีแพนด้าและหน้ากากงิ้ว ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของการผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมเข้ากับประสบการณ์การบริโภคร่วมสมัย
ผู้บริโภคจีนรุ่นใหม่ไม่ได้เลือกซื้อเค้กเพราะ “รสชาติ” อย่างเดียวอีกต่อไป แต่พวกเขาซื้อเพราะอยากสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ที่แตกต่าง เค้กหน้ากากงิ้วจึงไม่ใช่แค่ของหวาน แต่เป็นเรื่องเล่าและความทรงจำ ที่แชร์ต่อได้ในโซเชียลมีเดีย กระแส FOMO (Fear of Missing Out) ทำให้ผู้บริโภครุ่นใหม่ไม่อยากพลาดการมีส่วนร่วมในสิ่งที่กำลังเป็นกระแส นี่คือกุญแจสำคัญที่ทำให้สินค้าธรรมดากลายเป็นไวรัลและสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างมหาศาล
วัฒนธรรมร่วมสมัยจีนกับตลาดโลก: Pop Mart และ LABUBU
จากอาหารมาสู่อุตสาหกรรมที่ดูเหมือนจะเล็ก แต่กลับสร้างอิทธิพลระดับโลกได้จริง นั่นคือ 潮玩 (Chao Wan หรือ Designer Toy) โดยมีแบรนด์จีนอย่าง Pop Mart เป็นผู้เล่นหลักที่ส่งออกคาแรกเตอร์อย่าง LABUBU ไปทั่วโลก
ในประเทศไทย กระแสของเล่นจีนได้รับการตอบรับอย่างดี เหตุผลหลักมาจากหลายปัจจัย หนึ่งคือกระแสสะสมของเล่นดีไซน์ใหม่ที่กำลังเติบโตทั่วโลก โดยเฉพาะสินค้าที่ผลิตแบบ Limited Edition ที่กระตุ้นความต้องการของนักสะสม สองคือการที่คนไทยเริ่มคุ้นเคยกับวัฒนธรรมจีนผ่านสื่อบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์ ภาพยนตร์ หรือแอนิเมชัน สามคือการออกแบบของเล่นจีนที่ผสมผสานความเป็นเอเชียกับความเป็นสากล ทำให้ดูแปลกใหม่และเข้าถึงง่าย และสี่คือ จีนเป็นฐานการผลิตของเล่นรายใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนและขยายตลาดได้อย่างรวดเร็ว
สิ่งที่ทำให้ Pop Mart แตกต่างคือ การเล่าเรื่องผ่านตัวละคร แต่ละคาแรกเตอร์ไม่ได้เป็นเพียงตุ๊กตาน่ารัก แต่มีเรื่องราวและอัตลักษณ์เฉพาะตัว สิ่งนี้ทำให้ผู้บริโภคไม่เพียง “ซื้อของ” แต่ยัง “ซื้อเรื่องราว” ที่สะท้อนความเป็นตัวตนของพวกเขาเอง และเมื่อเรื่องราวเหล่านี้ถูกแชร์ออกไปในสื่อสังคมออนไลน์ มันก็ยิ่งสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์ได้อย่างเหนียวแน่น
China Chic และการสร้าง Brand China
ความสำเร็จของ Pop Mart และ LABUBU ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวของของเล่นดีไซน์ แต่ยังสะท้อนถึงปรากฏการณ์ทางสังคมที่เรียกว่า China Chic (国潮 หรือ 国朝) ซึ่งหมายถึงกระแสการบริโภคที่ผสมผสานความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมจีนเข้ากับแฟชั่นและรสนิยมร่วมสมัย กระแสนี้เริ่มชัดเจนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อคนรุ่นใหม่หันกลับมาสนใจสินค้าที่มี “ความเป็นจีน” แต่ถูกออกแบบให้ทันสมัยและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน
China Chic ไม่ได้จำกัดอยู่แค่แฟชั่นเสื้อผ้า แต่ขยายไปสู่เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ และแม้แต่ของเล่น ตัวอย่างเช่น การออกแบบชุดกีฬาที่ใช้ลวดลายโบราณ การสร้างลิปสติกที่ได้แรงบันดาลใจจากกู้กง หรือการทำ Pop Mart ที่ใช้สัญลักษณ์เอเชียผสานกับความน่ารักสากล ล้วนทำให้สินค้าจีนถูกมองว่า “เท่” และ “ร่วมสมัย” มากกว่าจะเป็นเพียงสินค้าราคาถูกที่ผลิตเพื่อการส่งออก
นี่คือการสร้าง Brand China ขึ้นมาใหม่ ทำให้สินค้า Made in China ไม่ได้ถูกจำกัดความหมายว่า “ของถูก” อีกต่อไป แต่เป็นแบรนด์ที่สะท้อนอัตลักษณ์และความคิดสร้างสรรค์แบบจีน ซึ่งได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและตลาดโลก China Chic จึงเป็น Soft Power เชิงวัฒนธรรมที่จับต้องได้ และเป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง “การบริโภคแบบจีน” ที่มีอัตลักษณ์ของตนเองอย่างแท้จริง
เทคโนโลยีและบันเทิงดิจิทัล: Wukong ก้าวกระโดดสู่ AAA Game ผลลัพธ์สำคัญเชื่อมวัฒนธรรมและเทคโนโลยี ภายใต้ความพยายามของจีนในยุทธศาสตร์ Made in China 2025 สู่ AI Vision 2030
หากพูดถึง Soft Power จีนที่ก้าวไปไกลเกินกว่าตลาดในประเทศ ไม่มีกรณีไหนน่าจับตามองเท่า Black Myth: Wukong เกมสัญชาติจีนที่สร้างปรากฏการณ์ระดับโลก เกมนี้พัฒนาโดยสตูดิโอจีน และเป็นเกมระดับ AAA เกมแรกที่ดัดแปลงจากวรรณกรรมคลาสสิกอย่างไซอิ๋ว (西游记) เรื่องราวของซุนหงอคงที่ทั้งชาวจีนและชาวเอเชียต่างคุ้นเคย
ทันทีที่เปิดตัว เกมมียอดผู้เล่นทะลุ 1 ล้านคนบน Steam ภายในเวลาเพียงชั่วโมงเดียว นี่ไม่ใช่แค่ความสำเร็จเชิงธุรกิจ แต่เป็นการประกาศให้โลกเห็นว่า จีนสามารถสร้างเกมคุณภาพสูงระดับโลกได้ และยังใช้เกมเป็นเครื่องมือเผยแพร่วัฒนธรรมของตัวเองได้อย่างมีพลัง
Wukong คือ หนึ่งในผลผลิต Soft Power จีนที่ทรงพลังในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่เพียงนำเสนอเรื่องเล่าแบบจีนในรูปแบบที่ร่วมสมัย แต่ยังตอบโจทย์ความต้องการของผู้เล่นทั่วโลกที่แสวงหาคอนเทนต์ใหม่ๆ ที่แตกต่างจากเกมฝั่งตะวันตก เกมนี้พิสูจน์ว่า การเล่าเรื่องแบบจีน สามารถก้าวข้ามพรมแดนวัฒนธรรมและสื่อสารกับผู้เล่นนานาชาติได้อย่างลึกซึ้ง
และถ้าวิเคราะห์ต่อเนื่องจากข้างต้น สามารถกล่าวได้ว่า หาก China Chic และ Brand China เป็นการสร้างพลังเชิงวัฒนธรรมและการบริโภคภายในประเทศ ความสำเร็จด้านเทคโนโลยีอย่างเกม Wukong ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความสามารถของนักพัฒนา แต่ยังเป็นผลจากยุทธศาสตร์ระดับชาติของจีนที่วางรากฐานไว้ชัดเจน นั่นคือ Made in China 2025 และ AI Vision 2030
โครงการ Made in China 2025 ถูกประกาศในปี 2015 เพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติและเปลี่ยนจากภาพจำที่คนทั่วโลกมองจีนว่า เป็นโรงงานโลก แหล่งผลิตสินค้าถูกอย่างเดียว มาเป็นผู้ผลิตนวัตกรรม และ AI Vision 2030 ที่ประกาศในปี 2017 หลังจาก Made in China 2015 เพียง 2 ปี ก็ยิ่งสะท้อนถึงความพยายามของจีนในเรื่องนี้ และยิ่งทำให้จีนมีทิศทางชัดเจนว่าจะเป็น ผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์ของโลกภายในปี 2030
ดังนั้น ความสำเร็จอย่าง Wukong หรือการเติบโตของอุตสาหกรรมเกมและเทคโนโลยีบันเทิงของจีน จึงสะท้อนว่าเบื้องหลัง Soft Power เชิงวัฒนธรรม มี ยุทธศาสตร์ชาติด้านเทคโนโลยี คอยหนุนหลังอยู่ และเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ใหญ่ที่จีนกำลังขับเคลื่อนไปสู่การเป็นผู้นำเศรษฐกิจนวัตกรรมของโลก
วัฒนธรรมเชื่อมโลก: จากสายไหมโบราณสู่สายไหมศตวรรษที่ 21
หากเรามองภาพของ “มังกรไร้พรมแดน” ในเชิงนโยบายระดับโลก โครงการ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) หรือ BRI คือหนึ่งในเครื่องมือที่จีนใช้สร้างความเชื่อมโยงอย่างเป็นรูปธรรม โครงการนี้ริเริ่มในปี 2013 โดยประธานาธิบดีสีจิ้นผิง และระบุว่าเป็น เส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21 เพื่อต่อยอดมาจากเส้นทางสายไหมโบราณที่รุ่งเรืองที่สุดในสมัยราชวงศ์ถัง โดยมีเมืองซีอานเป็นศูนย์กลางการค้าและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
ผู้เขียนเองเคยใช้ชีวิตที่ซีอานในช่วงที่จีนลุย BRI อย่างหนัก และได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเมืองนี้อย่างชัดเจน ซีอานไม่เพียงถูกบูรณะให้เป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ แต่ยังได้รับการผลักดันให้เป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจในโครงการ BRI เพื่อเชื่อมโยงจีนตะวันตกเฉียงเหนือกับโลกภายนอกอีกครั้ง เส้นทางสายไหมที่เคยเป็นช่องทางค้าขายสินค้าจีนโบราณ วันนี้กลายเป็นช่องทางการค้า การลงทุน และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระดับนานาชาติ
เมื่อครบรอบ 10 ปี BRI จีนได้เผยแพร่ “สมุดปกขาว” เพื่อสื่อสารกับโลกถึงผลลัพธ์ของโครงการ โดยชูประเด็นว่า “ริเริ่มโดยจีน แต่เป็นของทั้งโลก” ภายในสิบปีหลังการก่อตั้ง BRI จีนลงนามความร่วมมือ BRI มากกว่า 200 ฉบับ กับกว่า 150 ประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศกว่า 30 องค์กร แม้ว่าจีนจะถูกสหรัฐฯ และชาติตะวันตกบางประเทศวิจารณ์ว่า BRI ได้ก่อให้เกิดกับดักหนี้กับประเทศที่ร่วมมือด้วย แต่จีนก็ตอบโต้ด้วยข้อมูลว่า ภายใน 10 ปี หลังก่อตั้ง การค้าสะสมระหว่างจีนกับประเทศที่เข้าร่วม BRI สูงเกิน 19 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตเฉลี่ยปีละ 6.4% และอ้างอิงการคาดการณ์ของธนาคารโลก ว่า BRI จะช่วยให้ประชากร 7.6 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจนขั้นรุนแรง และอีก 32 ล้านคนพ้นจากความยากจนปานกลางภายในปี 2573
จาก BRI สู่ GCI: Global Civilization Initiative (GCI)
หาก BRI เป็นโครงการที่เน้นการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน Global Civilization Initiative (GCI) ที่สีจิ้นผิงเสนอในปี 2023 คือการขยายแนวคิดนั้นไปสู่ระดับอารยธรรมและวัฒนธรรมโลก GCI เกิดขึ้นต่อเนื่องจาก Global Development Initiative (GDI) ในปี 2021 และ Global Security Initiative (GSI) ในปี 2022 ทำให้ทั้งสามข้อริเริ่มถูกนำเสนอเป็น “สินค้าสาธารณะระดับโลก” ที่จีนบอกว่าพร้อมแบ่งปันให้กับมนุษยชาติ
แกนกลางของ GCI คือการสร้าง “ประชาคมโลกที่มีอนาคตร่วมกัน” โดยมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนและการเรียนรู้ร่วมกันของอารยธรรม ไม่ใช่การแบ่งแยกหรือการเผชิญหน้า ในจดหมายแสดงความยินดีต่อการประชุม Global Civilizations Dialogue Ministerial Meeting ที่จัดขึ้นที่ปักกิ่งในเดือนกรกฎาคม 2024 สีจิ้นผิงกล่าวชัดว่า “ในโลกที่การเปลี่ยนแปลงและความปั่นป่วนสอดประสานกัน มนุษยชาติต้องก้าวข้ามความแปลกแยกด้วยการแลกเปลี่ยน และก้าวข้ามความขัดแย้งด้วยการเรียนรู้ร่วมกัน”
ในปีเดียวกัน องค์การสหประชาชาติยังได้ประกาศให้วันที่ 10 มิถุนายนเป็น วันสากลแห่งการเสวนาระหว่างอารยธรรม (International Day for Dialogue among Civilizations) ตามข้อเสนอของจีนและการสนับสนุนร่วมจากกว่า 80 ประเทศ การยกระดับแนวคิดนี้ขึ้นสู่เวที UN ไม่เพียงตอกย้ำบทบาทของจีนในฐานะผู้ผลักดันการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม แต่ยังแสดงให้เห็นความพยายามที่จะทำให้ “วัฒนธรรม” เป็นเครื่องมือเชื่อมโลกในระดับที่กว้างกว่าเศรษฐกิจ
หาก BRI เป็นโครงการที่ปูทางเดินทางเศรษฐกิจและการค้า GCI ก็คือโครงการที่ปูทางเดินทางวัฒนธรรมและการเสวนา มันแสดงให้เห็นว่า จีนกำลังพยายามใช้ทั้ง “โครงสร้างพื้นฐาน” และ “โครงสร้างทางอารยธรรม” เพื่อสร้างเครือข่ายโลกที่ไม่ได้จำกัดแค่การพัฒนา แต่ยังรวมถึงความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
สูตรสำเร็จมังกรจีน Heritage + Innovation + Globalization
เมื่อพิจารณาทุกกรณีศึกษาที่กล่าวมา เราจะพบสูตรสำเร็จที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของจีน ซึ่งสามารถสรุปได้เป็นสามแกนหลักที่ทำงานควบคู่กันอย่างเป็นระบบ
ประการแรกคือ Heritage หรือมรดกทางวัฒนธรรม จีนมีรากฐานประวัติศาสตร์และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งและหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหูท่ง งิ้ว กู้กง หรือวรรณกรรมคลาสสิกอย่างไซอิ๋ว สิ่งเหล่านี้กลายเป็นวัตถุดิบทางวัฒนธรรมที่ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้ และถูกนำมาสร้างคุณค่าใหม่ในโลกยุคปัจจุบัน
ถัดมาคือ Innovation หรือนวัตกรรม ความสำเร็จของจีนไม่ได้หยุดเพียงการอนุรักษ์ แต่คือการตีความมรดกเก่าให้สอดคล้องกับยุคสมัย ตัวอย่างชัดเจนคือร้านหนังสือที่ถูกเปลี่ยนเป็น Cultural Space ที่มีชีวิตชีวา ลิปสติกที่ออกแบบจากลวดลายโบราณจนกลายเป็นสินค้าวัฒนธรรมร่วมสมัย หรือเกม Wukong ที่พลิกจากวรรณกรรมจีนสู่สื่ออินเตอร์แอคทีฟระดับโลก สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นการ “ฟื้นชีวิตใหม่” ให้กับอดีต
สุดท้ายคือ Globalization หรือโลกาภิวัตน์ ซึ่งในอดีตมักถูกมองว่าเป็นแนวคิดที่อเมริกาเป็นผู้ผลักดัน แต่ปัจจุบันจีนกลับหยิบโลกาภิวัตน์มาใช้เป็นข้อถกเถียงกับอเมริกา โดยอ้างว่าจีนต่างหากที่กำลังเป็นผู้เชื่อมโยงองค์ความรู้ นวัตกรรม เทคโนโลยี และประสบการณ์กับโลกอย่างแท้จริง ผ่านโครงการ BRI และ GCI ที่ครอบคลุมตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานจนถึงการแลกเปลี่ยนทางอารยธรรม ขณะเดียวกันในระดับวัฒนธรรมร่วมสมัย จีนยังใช้การตลาดดิจิทัล การออกแบบสากล และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อเข้าถึงและเชื่อมโยงกับผู้บริโภคทั่วโลก
ดังนั้น การพัฒนาวัฒนธรรมของจีนในปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงการเก็บรักษามรดกเก่า แต่คือการผสานอดีตเข้ากับนวัตกรรมใหม่ และใช้โลกาภิวัตน์เป็นเวทีในการขยายอิทธิพลทางวัฒนธรรมออกไปสู่ระดับสากลอย่างมั่นคง
กล่าวโดยสรุป “มังกรไร้พรมแดน” คือสัญลักษณ์ของจีนในศตวรรษที่ 21 ซึ่งไม่ได้หมายถึงพรมแดนทางภูมิศาสตร์ที่ขยายออกไป แต่หมายถึงวัฒนธรรมจีนที่กำลังไร้พรมแดน สามารถเดินทางจากตรอกหูท่งสู่แพลตฟอร์มดิจิทัล จากพิพิธภัณฑ์พระราชวังต้องห้ามสู่โต๊ะเครื่องแป้งของคนรุ่นใหม่ จากเค้กงิ้วและแพนด้าสู่โลกโซเชียล และจากวรรณกรรมไซอิ๋วสู่เกม AAA ที่คนทั้งโลกพร้อมจะเล่น
เบื้องหลังความสำเร็จนี้คืออัตลักษณ์ด้านวัฒนธรรมที่ผสมผสาน อดีตกับอนาคต และใช้ประสบการณ์เป็นสะพานเชื่อม ทำให้ผู้คนไม่เพียงบริโภคสินค้า แต่ยังรู้สึกว่าได้ “สัมผัส” และ “เป็นส่วนหนึ่ง” ของวัฒนธรรมจีนด้วย
แต่ความท้าทายใหญ่ของจีน ซึ่งก็คือคำถามที่ทั่วโลกต่างจับจ้อง นั่นคือ Soft Power จีน ผ่านการขยายวัฒนธรรมในยุคดิจิทัลเช่นนี้ จะไปได้ไกลเพียงไหน จะสามารถครอบคลุมทั่วโลกได้เหมือนกับวัฒนธรรมบันเทิงเกาหลีใต้และญี่ปุ่นที่ทำสำเร็จหรือไม่ ซึ่งคิดว่า ยังคงต้องติดตามเส้นทางมังกรไร้พรมแดนของจีนต่อไปอย่างใกล้ชิด
ภาพ: ProStockStudio via ShutterStock


