การลงทุนที่ดีมีส่วนประกอบสองประการคือ เป็นสินทรัพย์ที่ดี และมีราคาที่เหมาะสม
สำหรับหุ้นธีม AI ตั้งแต่มีการเปิดตัว ChatGPT 3.5 ช่วงปลายปี 2022 ก็สร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นให้กับนักลงทุนมาโดยตลอด
จนมาถึงปัจจุบัน การปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดการกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่ และ Valuation ของตลาดแพงจนมีความกังวลเรื่องภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้น
เป็นที่มาของประเด็นที่นักลงทุนไทยควรต้องช่วยกันคิดว่า
“ฟองสบู่ธีม AI นี้ ยังเป็นโอกาส หรือกลายเป็นความเสี่ยงไปแล้วกันแน่”
ผมแบ่งประเด็นที่นักลงทุนต้องวิเคราะห์ออกเป็น 3 เรื่องหลัก
ประเด็นที่หนึ่ง คือการเป็นสินทรัพย์ที่ดี หมายถึง ขีดความสามารถในการเติบโตของธีม AI ยังดีอยู่หรือไม่
จากการวิเคราะห์โครงสร้างธุรกิจจะพบว่าความเสี่ยงสำคัญ คือการใช้ AI วนเวียนอยู่แค่ในกลุ่ม Tech
ธุรกิจ AI หมุนวนรายได้กันได้ เพราะอัตราการทำกำไร (margin) สูงพอจะหล่อเลี้ยงการลงทุนต่อเนื่อง เช่น Nvidia มี margin เกิน 70%, Microsoft Cloud margin สูงราว 45%, ส่วน OpenAI ก็ได้เงินสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่
Nvidia ลงทุนใน OpenAI ที่เช่า server จาก Microsoft และ Oracle ขณะที่สองบริษัทหลังออกพันธบัตรมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อขยายศูนย์ข้อมูล แล้วนำเงินนั้นไปซื้อชิปจาก Nvidia อีกที วนกลับไปที่ต้นทาง
รายงานของ Bloomberg ล่าสุดชี้ว่าบริษัทเหล่านี้ ใช้เงินสดสะสมและหนี้ใหม่กว่า 1.4 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อหมุนเวียนการลงทุนต่อไปให้รายได้เติบโตพร้อมกัน
อย่างไรก็ดี จุดแข็งของบริษัทยักษ์ใหญ่ธีม AI คือสายป่านทางการเงินที่ยาวมาก
เช่นกลุ่ม Hyperscalers อย่าง Microsoft, Amazon, Google และ Meta มีเงินสดสะสมรวมกว่า 6.5 แสนล้านดอลลาร์ และมีกระแสเงินสดต่อปีราว 2 แสนล้านดอลลาร์ เพียงพอจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ได้ต่อเนื่องหลายปี
และในระหว่างนั้น ต้องรอลุ้นว่าธุรกิจ AI จะสามารถขายสินค้าและบริการให้กับอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่นการเงิน สื่อสาร กฎหมาย และการศึกษา ที่เป็นผู้ใช้ AI หลักในปัจจุบันเพื่อสร้างการเติบโตระยะยาวได้มากแค่ไหน
ถ้าทำสำเร็จทันเวลา ก็จะแก้ปัญหาได้ทั้งเรื่องการกระจุกตัว และโอกาสการเติบโตในอนาคต
ประเด็นที่สอง ระดับมูลค่าที่เข้าสู่ช่วงฟองสบู่ แต่แค่เกิดฟองอาจไม่ได้หมายความว่าฟองนี้จะใหญ่เกินไปจนต้องแตก
ราคาหุ้นในกลุ่ม AI แพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต เหตุผลสำคัญมาจาก ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเร็ว และแรงกว่าอัตราการเติบโตของกำไร
ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ P/E (กำไรใน 12เดือนข้างหน้า) เฉลี่ยของหุ้น AI พุ่งขึ้นแตะระดับ 28–30เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวของตลาดที่แค่ราว 18เท่า ในขณะเดียวกัน หุ้นหลักของธีมเช่น Nvidia, Microsoft, Amazon, Apple, Meta, Google และ Tesla ต่างเป็นหุ้นใหญ่ รวมกันแล้วมีมูลค่ากว่าหนึ่งในสี่ของหุ้นทั่วโลก จึงทำให้ตลาดหุ้นโดยรวมเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ไปพร้อมกันอีก
อย่างไรก็ดี แม้ธีม AI จะแพงในปัจจุบัน แต่ถ้าเปรียบเทียบกับระดับฟองสบู่หุ้นโลกครั้งอื่นๆ เช่น ฟองสบู่ดอทคอม (1999–2000) ที่ P/E S&P500 โดยรวมขึ้นไปซื้อขายแพงถึง 44เท่า หรือฟองสบู่หุ้นญี่ปุ่น (1989) ที่ดัชนี Nikkei ขึ้นไปซื้อขายถึง P/E 60 เท่า
มูลค่าปัจจุบันของทั้งตลาดและธีม AI ที่ดูแพง อาจยังไม่ถึงระดับแพงสุดโต่งจนเสี่ยงปรับฐาน
นำมาสู่ประเด็นที่สาม ว่าอะไรคือความเสี่ยงที่อาจเจาะฟองสบู่ AI ให้แตกได้
ผมมองไปที่ 3 เรื่องได้แก่การกำกับควบคุม ภาวะการเงินตึงตัว และความผิดหวังที่อาจเกิดจาก AI เอง
1. AI Datacenter ใช้ไฟมากกว่า Datacenter ทั่วไป 3–4 เท่า และคาดว่าภายในปี 2030 ความต้องการพลังงานจาก AI จะเพิ่มขึ้นเป็น 160 เทราวัตต์ชั่วโมงต่อปี เทียบเท่ากับการใช้ไฟทั้งประเทศเนเธอร์แลนด์
การใช้พลังงานที่สูง เทียบกับผลลัพธ์ที่ไม่ชัดเจน อาจส่งผลให้บางประเทศเริ่มใช้กฎหมายควบคุมการใช้พลังงาน นอกจากนั้น หลายประเทศในยุโรป เริ่มจำกัดการเข้าถึงข้อมูลสาธารณะเพื่อฝึกโมเดล
แรงต้านจากภาครัฐทั่วโลกอาจเป็นความเสี่ยงแรกที่ AI จะต้องเผชิญในอนาคต
2. กลุ่ม Hyperscalers ลงทุนด้าน AI รวมราว 4-5 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี ขณะที่มีเงินสดรวมในงบดุลประมาณ 6.5 แสนล้านดอลลาร์ แม้จะมี Free Cash Flow ราว 2 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี แต่หากไม่มีรายได้จากธุรกิจใหม่ เงินสดอาจถูกใช้หมดภายใน 1.5 – 2 ปี หลังจากนั้น บริษัทจะต้องพึ่งการกู้ยืม เพื่อรักษาระดับการลงทุนเท่าเดิม
หมายความว่าถ้าธุรกิจยังไม่มีกำไรภายในปี 2027–2028 การตึงตัวทางการเงิน จะเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่สามารถเจาะฟองสบู่ AI ได้
3. แม้ GPT-5 ของ OpenAI และ Claude 4.5 ของ Anthropic จะเปิดตัวพร้อมความสามารถในการทำงานแบบ Agentic AI แต่กระแสตอบรับกลับ “ไม่ว้าว” เท่าที่คาด ผู้ใช้ส่วนใหญ่รายงานว่า ประสบการณ์ใช้งานดีขึ้นเพียง 10–15% และ ความมั่นใจผิด (hallucination) กลับสูงขึ้นกว่า 20–30% ในงานวิเคราะห์ที่ซับซ้อน
เมื่อเทียบกับความคาดหวังของตลาดที่คาดว่าจะเห็นปัญญาทั่วไป (AGI) โดยเร็ว จึงเกิดช่องว่างระหว่างเทคโนโลยีจริงกับความหวังของตลาด
หากอัตราการใช้งานจริงของโมเดล AI เชิงพาณิชย์ เติบโตต่ำกว่า 30% ต่อปี อย่างที่ตลาดกำลังคาดหวัง ทุก 10% ที่ลดลงของการเติบโต หมายถึงมูลค่าของธีม AI จะหายไปราว 2–3 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และฟองสบู่อาจแฟบลงทันทีเพราะตลาดหมดความตื่นเต้น
เมื่อเราเข้าใจทั้งความเสี่ยงและโอกาสแล้ว ก็ต้องปรับกลยุทธ์ให้พร้อม โดยผมมองว่ามี 3 กลยุทธ์สำคัญได้แก่
1. เน้นกระจายการลงทุน เมื่อเข้าช่วงเปลี่ยนผ่านผู้นำ
ตลาด AI กำลังหมุนจากกลุ่มผู้ผลิตเทคโนโลยีต้นน้ำ ไปสู่กลุ่มผู้ใช้เทคโนโลยีจริง จึงควรกำหนดสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตให้มีทั้งหุ้น Tech และอุตสาหกรรมอื่นๆ ไม่หนักไปที่หุ้นหรือธุรกิจใดมากเกินไป
2. เลือก AI สาย Disruptor ก่อน Innovator
เน้นไปที่กลุ่ม Disruptor เช่นบริษัทที่ใช้ AI ปรับโมเดลธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนก่อน ส่วน Innovator หรือบริษัทที่พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ สามารถรอจนกว่าจะเห็น business case ที่ชัดเจนได้
3. ใช้ความคุ้มค่าของการลงทุนเป็นหลักคัดเลือกมากกว่าความตื่นเต้น
การประเมินด้วยพื้นฐานแท้จริง เช่น กำไร กระแสเงินสด และ P/E มากกว่ากระแสเทคโนโลยีหรือชื่อบริษัทเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย เพราะเมื่อฟองสบู่แฟบลง สิ่งที่จะเหลืออยู่คือมูลค่าแท้จริงเหล่านั้น
มุมมองของผม ธีม AI เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ แต่การลงทุนในธีมนี้จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน ก็ต่อเมื่อเทคโนโลยีถูกนำไปใช้นอกภาคเทคโนโลยี ขณะที่ราคาหุ้นที่สูง และการกระจุกตัว จะทำให้ความเสี่ยงปรับฐานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ด้วย Valuation ของตลาดที่เข้าสู่ภาวะฟองสบู่ ในระยะสั้นความผันผวนคือเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าถ้านักลงทุนปรับพอร์ตอย่างรอบคอบ และเลือกลงทุนในธุรกิจ AI ที่ถูกต้อง ถูกเวลา โอกาสสำหรับธีมนี้ยังจะมีให้เราเห็นอีกมากในทศวรรษนี้ครับ
ภาพ: Petrovich9 / Getty Images


