ปี 2025 เป็นปีที่ราคาทองคำพุ่งกระฉูดแบบหยุดไม่อยู่ ทำให้หลายคนที่สนใจอยากซื้อทองแท่งช่วงนี้คิดหนัก เพราะหากจะซื้อทองแท่งสักบาทต้องใช้เงินเริ่มต้นถึง 6 หมื่นบาท กลายเป็นว่าการเริ่มต้น ลงทุนทอง ดูทำได้ยากสำหรับคนที่งบน้อยไปแล้ว
แต่ทว่าการลงทุนทองคำไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่เสมอไป ปัจจุบันมีตัวเลือกที่เหมาะกับคนงบน้อยที่ช่วยให้เราสามารถทยอยสะสมทองคำได้อย่างสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น
การออมทอง (Gold Saving)
เป็นการทยอยซื้อทองคำทีละเล็กทีละน้อย โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในการซื้อทองคำแท่งทั้งบาทในครั้งเดียว หลักการจะคล้ายกับการออมเงินในบัญชีธนาคาร แต่สิ่งที่สะสมเพิ่มขึ้นคือ น้ำหนักทองคำ ไม่ใช่จำนวนเงินบาท
ปัจจุบันมีร้านทองหลายเจ้าที่ให้บริการออมทอง โดยทองคำที่เราทยอยออมไว้จะถูกบันทึกในบัญชีดิจิทัลผ่านระบบของผู้ให้บริการ (ร้านทองหรือโบรกเกอร์) เมื่อสะสมน้ำหนักทองคำครบตามที่กำหนด ก็สามารถเลือกที่จะเบิกเป็นทองคำแท่งจริงออกมาเก็บ หรือจะขายทองคำสะสมนั้นเพื่อรับเป็นเงินสดก็ได้
ใช้เงินเริ่มต้นเท่าไหร่: ส่วนใหญ่มักเริ่มต้นเพียง หลักร้อยบาท (เช่น 150 บาท, 500 บาท) หรือ หลักพันบาท (เช่น 1,000 บาท) ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ
โดยที่เราสามารถเลือกออมทองได้ทั้งแบบรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน และสามารถกำหนดจำนวนเงินได้เองตามกำลังทรัพย์ ทำให้ง่ายต่อการสร้างวินัยทางการเงินโดยไม่เป็นภาระหนัก
ข้อดีของการออมทอง
1. ใช้เงินเริ่มต้นน้อย ได้ทองคำแท่งจริง: คนงบน้อยสามารถเป็นเจ้าของทองคำแท่งได้ โดยไม่ต้องจ่ายเงินหลายหมื่นบาทเพื่อซื้อทอง 1 บาทในครั้งเดียว และเมื่อสะสมครบตามน้ำหนักขั้นต่ำ สามารถเลือกเบิกทองคำแท่งออกมาได้จริง
2. สร้างวินัยการออมและการลงทุน (DCA): การทยอยซื้อทองคำอย่างสม่ำเสมอด้วยจำนวนเงินเท่ากัน จะช่วยให้เราได้ราคาทองคำเฉลี่ยที่เหมาะสม โดยไม่ต้องกังวลว่าซื้อในจังหวะที่ราคาทองกำลังพุ่งสูงสุด
3. ปลอดภัย ไม่ต้องเก็บทองเอง: ทองคำที่เราออมจะอยู่ในระบบของผู้ให้บริการ ซึ่งมีความปลอดภัยสูง จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการโจรกรรมหรือความยุ่งยากในการเก็บรักษาทองคำจริงไว้ที่บ้าน
ข้อควรระวัง
1. ความผันผวนของราคา: แม้จะเรียกว่า ‘ออม’ แต่การออมทองก็คือการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวน หากราคาทองคำลดลง มูลค่าทองคำที่สะสมไว้ก็อาจจะลดลงตามไปด้วย จึงควรมองเป็นการลงทุนระยะยาว
2. ไม่มีดอกเบี้ย: การออมทองคือการซื้อสินทรัพย์ ไม่ใช่การฝากเงิน จึงไม่มีการได้รับดอกเบี้ยเหมือนบัญชีเงินฝาก
3. เงื่อนไขการรับทอง: เราจะไม่สามารถรับทองคำจริงออกมาได้ทันทีที่ต้องการ แต่ต้องรอให้สะสมน้ำหนักทองคำครบตามเงื่อนไขขั้นต่ำที่ผู้ให้บริการกำหนดก่อน
4. ความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ: ควรเลือกออมทองกับร้านทองหรือโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือ มีระบบที่มั่นคง และได้รับการกำกับดูแลที่ชัดเจน
เหมาะกับใคร?
- คนงบน้อย/มนุษย์เงินเดือน: ผู้ที่มีเงินเหลือเก็บเป็นจำนวนไม่มากในแต่ละเดือน แต่ต้องการสร้างความมั่งคั่งด้วยการสะสมทองคำ
- ต้องการลงทุนระยะยาว: ผู้ที่มีเป้าหมายเก็บทองคำเพื่อเป็นสินทรัพย์สำรองในยามฉุกเฉิน หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อในระยะ 3-5 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่ต้องการสร้างวินัย: ผู้ที่ต้องการระบบที่ช่วยบังคับให้มีการเก็บออมอย่างสม่ำเสมอในทุก ๆ เดือน
โดยสรุปแล้ว การออมทองคือเครื่องมือที่เปิดประตูให้ทุกคนเข้าถึงการลงทุนในทองคำได้จริง ด้วยความเสี่ยงที่จัดการได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับวิธีการเก็งกำไรอื่น ๆ
กองทุนรวมทองคำ (Gold Fund)
คือกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่รวบรวมเงินจากนักลงทุนรายย่อย แล้วนำเงินส่วนใหญ่ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับทองคำ หรือลงทุนใน ETF ทองคำในต่างประเทศอีกทอดหนึ่ง เพื่อให้ผลตอบแทนของกองทุนเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับราคาทองคำโลก
นักลงทุนจะได้รับ ‘หน่วยลงทุน’ แทนการถือครองทองคำจริง ๆ ทำให้การลงทุนทองคำกลายเป็นเรื่องง่ายเหมือนการซื้อขายกองทุนทั่วไป
ใช้เงินเริ่มต้นเท่าไหร่: สามารถเริ่มต้นได้ง่าย ๆ เพียงแค่ หลักร้อยบาท (เช่น 500 บาท) หรือตามเงื่อนไขขั้นต่ำของแต่ละกองทุน
โดยทั่วไปเราสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนเหล่านี้ได้ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารหรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทำให้การทำรายการเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว
ข้อดีของกองทุนรวมทองคำ
1. ความสะดวกและสภาพคล่องสูง: การซื้อขายทำได้ง่ายผ่านช่องทางออนไลน์ของธนาคารหรือบลจ. เหมือนการซื้อขายกองทุนทั่วไป สามารถซื้อหรือขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการของกองทุน โดยไม่ต้องเดินทางไปร้านทอง
2. ไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดเก็บ: เนื่องจากเป็นการถือครองหน่วยลงทุน เราจึงไม่มีภาระในการเก็บรักษาทองคำจริง ไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญหาย ถูกโจรกรรม หรือค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา เช่น ค่าประกันภัยหรือค่าห้องนิรภัย
3. มีผู้เชี่ยวชาญดูแล: มีผู้จัดการกองทุนคอยติดตามภาวะตลาดและบริหารจัดการการลงทุนให้
ข้อควรระวัง
1. ความเสี่ยงด้านค่าเงิน: เนื่องจากกองทุนทองคำส่วนใหญ่ลงทุนในทองคำที่อ้างอิงราคาตลาดโลก (ดอลลาร์สหรัฐฯ) ผลตอบแทนของเราจึงได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์ ด้วย หากเงินบาทแข็งค่าขึ้น อาจทำให้ผลตอบแทนลดลง
2. ค่าธรรมเนียม: กองทุนรวมมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ซึ่งจะถูกหักออกจากมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน โดยค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนในระยะยาว
เหมาะกับใคร?
- นักลงทุนที่ต้องการความสะดวก: สามารถลงทุนทองคำอย่างง่ายดายผ่านช่องทางออนไลน์ และต้องการสภาพคล่องสูงในการซื้อขาย
- ผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยง: ผู้ที่ต้องการให้ทองคำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุน (โดยทั่วไปแนะนำไม่เกิน 5-10% ของพอร์ต เพื่อช่วยลดความผันผวนโดยรวม
- ผู้ที่ไม่มีสถานที่จัดเก็บทอง: ผู้ที่ไม่ต้องการความเสี่ยงในการเก็บรักษาทองคำจริงไว้ที่บ้าน และไม่ต้องการเสียค่าใช้จ่ายในการฝากทองกับคลังนิรภัย
ทองรูปพรรณ
ทองรูปพรรณคือทองคำที่ผ่านการแปรรูปจากทองคำแท่งให้กลายเป็นเครื่องประดับที่มีลวดลายต่าง ๆ เช่น สร้อยคอ แหวน สร้อยข้อมือ หรือต่างหู ทองรูปพรรณที่ซื้อขายในประเทศไทยส่วนใหญ่มีความบริสุทธิ์ 96.5% ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับทองคำแท่ง
ใช้เงินเริ่มต้นเท่าไหร่: การซื้อทองรูปพรรณสามารถเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนที่ต่ำกว่าการซื้อทองคำแท่ง โดยขึ้นอยู่กับน้ำหนักของชิ้นงาน เช่น ทองครึ่งสลึง ราคาประมาณ 8,000-9,000 บาท หรือ ทอง 1 สลึง ราคาประมาณ 17,000-18,000 บาท (ราคาทองรูปพรรณปรับเปลี่ยนตามทองแท่ง)
ข้อดีของทองรูปพรรณ
1. ใช้เป็นเครื่องประดับได้: สามารถใช้ทองรูปพรรณสวมใส่เป็นเครื่องประดับเพื่อความสวยงาม เสริมบุคลิกภาพ หรือเป็นสัญลักษณ์ทางสังคมได้
2. มูลค่าคงทน: ถึงแม้จะมีการหักค่ากำเหน็จเมื่อซื้อ แต่ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าคงทน และยังสามารถใช้เป็นสินทรัพย์สำรองยามฉุกเฉินได้
ข้อควรระวัง
1. ต้องเสีย ‘ค่ากำเหน็จ’: เมื่อซื้อทองรูปพรรณ เราจะต้องจ่าย ค่ากำเหน็จ หรือค่าฝีมือช่าง ซึ่งเป็นค่าแรงในการขึ้นรูปและทำลวดลาย ซึ่งค่ากำเหน็จนี้จะไม่ถูกนำมาคิดรวมเมื่อเราขายคืนทองคำ ทำให้เราต้องแบกรับต้นทุนส่วนนี้ไปทันที
2. ราคารับซื้อคืนจะถูกหักมากกว่า: เมื่อนำทองรูปพรรณไปขายคืนที่ร้านทอง ร้านจะหักราคาประมาณ 5% จากราคารับซื้อคืนทองคำแท่งตามที่สมาคมค้าทองคำประกาศ เนื่องจากต้องนำไปหลอมใหม่
3. สึกหรอและเสียหาย: หากนำมาสวมใส่เป็นประจำ ทองรูปพรรณอาจเกิดรอยขีดข่วน สึกหรอหรือลวดลายบุบได้ง่าย ซึ่งจะทำให้น้ำหนักทองลดลงและถูกตีราคาขายคืนได้ต่ำลง
เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่เน้นการใช้งานและการสวมใส่: คนที่ต้องการเครื่องประดับที่ทำจากทองคำแท้ และมองว่าการลงทุนเป็นผลพลอยได้รอง
- ต้องการซื้อเป็นของขวัญ: เหมาะสำหรับใช้เป็นของขวัญในโอกาสสำคัญ เช่น งานแต่งงาน หรือการให้เป็นมรดก
- ต้องการเริ่มต้นสะสมทองแบบจับต้องได้: คนที่ต้องการความเป็นเจ้าของในทองคำแบบที่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้จริง โดยไม่กังวลเรื่องต้นทุนค่ากำเหน็จในการซื้อ
หากวัตถุประสงค์หลักของเรา คือ การลงทุนเพื่อหวังผลกำไรสูงสุด การซื้อทองรูปพรรณถือว่ามีต้นทุนสูงเกินไป แต่หากเราอยากมีเครื่องประดับและต้องการสะสมมูลค่าไปในตัว การเลือกทองรูปพรรณก็เป็นอีกทางเลือกที่ใช้เงินเริ่มต้นน้อยกว่า
สิ่งที่ต้องระวัง ในช่วงราคาทองคำ All Time High
1. ความเสี่ยง ‘ติดดอย’
ราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วย่อมมีโอกาสปรับฐานหรือย่อตัวลงแรงได้เช่นกัน หากทุ่มเงินทั้งหมดเข้าซื้อในจังหวะที่ราคาสูงสุดเพราะความโลภ เราอาจต้องรอเป็นเวลานานกว่าราคาจะกลับมาถึงจุดเดิมได้
2. ทองคำไม่จ่ายปันผล
ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดกระแสเงินสด (ไม่มีดอกเบี้ยหรือเงินปันผล) ผลตอบแทนทั้งหมดมาจากการขายที่ราคาสูงกว่าทุนเท่านั้น การถือทองคำจึงมี ต้นทุนค่าเสียโอกาส ในการนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนต่อเนื่อง
3. ระวังการใช้ Leverage
หากลงทุนใน Gold Futures หรือตราสารอนุพันธ์เพื่อเก็งกำไร ควรระวังการใช้เงินกู้ยืมหรือ Leverage ที่สูงเกินไป เพราะความผันผวนของราคาที่สูง ณ จุดนี้ สามารถทำให้ขาดทุนอย่างหนักหรือถูกเรียกให้เติมหลักประกัน (Margin Call) ได้อย่างรวดเร็ว
4. เงินบาทแข็งค่ากดราคาไทย
ราคาทองคำโลกอ้างอิงสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว จะส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศถูกกดดันและปรับลดลงตาม แม้ว่าราคาทองคำโลกจะยังคงนิ่งอยู่ก็ตาม
5. อย่าลงทุนเกินตัว
ทองคำคือสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง ควรเก็บทองคำในสัดส่วนที่เหมาะสมของพอร์ตโดยรวมเท่านั้น (ไม่ควรเกิน 5-10%) และไม่ควรนำเงินทั้งหมดที่จำเป็นต่อการใช้จ่ายมาลงกับทองคำในช่วงที่ราคาสูงสุด
แม้ทองคำจะเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่สร้างความมั่งคั่งได้ แต่นักลงทุนก็ควรลงทุนอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะในยามที่ราคาทองคำพุ่งสูงทำสถิติใหม่ ต้องไม่ลืมว่าบทบาทหลักของทองคำนั้นคือ ทำหน้าที่เป็น ‘สินทรัพย์ปลอดภัย’ หรือ ‘เครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ’ มากกว่าสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนสูงรวดเร็ว ดังนั้นให้มองเป็นการลงทุนระยะยาว
โปรดระลึกเสมอว่าการลงทุนในทองคำควรเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพอร์ตโดยรวม โดยจัดสัดส่วนให้เหมาะสม และใช้เพียง ‘เงินเย็น’ ที่ไม่กระทบต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่านั้น เพื่อให้เราสามารถถือครองสินทรัพย์นี้ได้อย่างสบายใจแม้ในยามที่ตลาดมีความผันผวนสูง
ภาพ: Mininyx Doodle / Getty Images
อ้างอิง: