×

ปลุกเศรษฐกิจไทย: ปรับกลยุทธ์จาก ‘3 มาก’ สู่ ‘3 น้อย’ เพื่อหลุดพ้นจากกับดักเศรษฐกิจสองใบ

11.10.2025
  • LOADING...

เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้รับเกียรติให้ขึ้นพูดบนเวที ‘Wake Up! Thailand Economy’ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฉายภาพปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยและเสนอแนะแนวทางแก้ไขอย่างยั่งยืน บทความนี้ คือการขยายความและสังเคราะห์ข้อเสนอเหล่านั้น เพื่อให้เราตระหนักถึงความจำเป็นในการ ‘ตื่นตัว’ และลงมือปรับโครงสร้างเชิงสถาบันอย่างเร่งด่วน

 

เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันกำลังแสดงอาการน่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการที่คล้ายคลึงกับ ‘ทศวรรษที่สูญหาย’ (The Lost Decade) ในช่วงต้นของญี่ปุ่น ศักยภาพการเติบโตระยะยาวเสื่อมถอยลง และคนไทยจำนวนมากกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน การแก้ไขจึงไม่ใช่เรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่คือการเปลี่ยนโมเดลการเติบโตภายใต้ภูมิทัศน์โลกที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

 

การเปลี่ยนผ่านของภูมิทัศน์โลก: จาก 3 มาก สู่ 3 น้อย

 

กลยุทธ์การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จ (The Winning Strategy) ของประเทศต่างๆ ถูกกำหนดโดยภูมิทัศน์โลก (Landscape) ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ภูมิทัศน์โลกถูกขับเคลื่อนด้วย ‘3 มาก’:

  1. ประชากรมากขึ้น: นำไปสู่จำนวนแรงงานและความต้องการบริโภคที่สูงขึ้น
  2. ความร่วมมือมากขึ้น: ผ่านกลไกพหุภาคี
  3. การแบ่งงานกันทำมากขึ้น: ก่อให้เกิดห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain)

 

กลยุทธ์ที่เหมาะสมในช่วงนั้น คือการมุ่งเน้น ‘ปริมาณ’ ความถูก และประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งประเทศไทยเติบโตด้วยโมเดลนี้มาโดยตลอด:

  • Outside-in: การเติบโตที่เชื่อมโยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจเข้ากับสายพานการผลิตโลก โดยมีบริษัทข้ามชาติเป็นตัวขับเคลื่อน
  • Top-down: การเติบโตที่ต้องการความเร็วและประสิทธิภาพ ผ่านพิมพ์เขียวที่กำหนดจากส่วนกลาง
  • Exclusive Growth: การสนับสนุนธุรกิจ ‘ตัวแทน’ ให้มีขนาดใหญ่พอที่จะเข้าร่วมห่วงโซ่โลก (Economies of Scale)

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษหลังมิลเลนเนียม ภูมิทัศน์โลกได้พลิกกลับสู่ ‘3 น้อย’ คือ ประชากรน้อยลง ความร่วมมือลดลง และการพึ่งพาตนเองมากขึ้น หากเรายังคงใช้กลยุทธ์เก่าภายใต้ภูมิทัศน์ใหม่นี้ ก็เหมือนกับความพยายามผลิตรถที่มีล้อเพื่อวิ่งแข่งในโลกที่กลายเป็น Water World ไปแล้ว และก็อาจกลายเป็นรถที่จมน้ำอยู่ดี

 

ปัญหาเชิงโครงสร้าง: เศรษฐกิจไทยโลกสองใบ

 

อาการของเศรษฐกิจไทยที่ติดอยู่ใน ‘กับดักรายได้ปานกลาง’ และเสี่ยงเข้าสู่ทศวรรษที่สูญหายอย่างน่ากังวล สะท้อนความล้มเหลวของโมเดล Outside-in ในการสร้างการเติบโตอย่างทั่วถึง

 

หัวใจของความไม่สมดุลนี้คือ ‘เศรษฐกิจไทยโลกสองใบ’ (Dualism) ซึ่งเป็นการขาดโอกาสในการเลื่อนชั้นทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะในมิติที่สำคัญที่สุดคือ โลกของธุรกิจขนาดใหญ่ (Large Firms) กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs):

  1. ความเหลื่อมล้ำทางรายได้และความมั่งคั่ง: ครัวเรือนไทยส่วนใหญ่มีรายได้ไม่พอรายจ่าย ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง (91% ต่อ GDP ณ ปี 2021)
  2. ปัญหาผลิตภาพ: การจัดสรรทรัพยากรการผลิตทำได้ไม่เหมาะสม ธุรกิจที่มีผลิตภาพสูงยังเข้าไม่ถึงเงินทุน ขณะที่ธุรกิจซอมบี้ (Zombie Firms) ยังคงได้รับเงินทุนเพื่อต่อลมหายใจ
  3. การขาดส่วนร่วม (Inclusiveness): การประเมินของ World Economic Forum (WEF) ชี้ว่า คุณภาพของการเติบโตของไทยที่ด้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้วมากที่สุดคือมิติของ ‘การเติบโตอย่างมีส่วนร่วม’ (Inclusiveness) ซึ่งทำให้ไทยสูญเสียโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจไปอย่างมหาศาล

 

กลยุทธ์ 3 เปลี่ยน เพื่อการเติบโตแบบ Inside-Out

 

โมเดลการพัฒนาใหม่ต้องเน้นที่ ‘คุณภาพ’ (Quality) ซึ่งประกอบด้วยนวัตกรรม (Innovativeness), ความยั่งยืน (Sustainability), ความแข็งแกร่ง (Resilience), และการมีส่วนร่วม (Inclusiveness) กลยุทธ์ที่เหมาะสมจึงต้องเปลี่ยนกระบวนท่า 3 ประการ:

  1. เปลี่ยนจาก Outside-in สู่ Inside-out: การเติบโตต้อง ‘ระเบิดจากข้างใน’ โดยมุ่งเน้นการยกระดับผลิตภาพและการสร้างมูลค่าเพิ่มจากฐานทรัพยากรภายในประเทศ
  2. เปลี่ยนจาก Top-down สู่ Bottom-up: การสร้างกลไกที่เอื้อต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หลากหลายและสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่และวัฒนธรรม
  3. เปลี่ยนจาก Exclusive Growth สู่ Inclusive Growth: การทำให้ทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจมีส่วนร่วมในการผลิต และได้รับผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม

 

โมเดลนี้เป็น การพัฒนาจากฝั่งอุปทาน (Supply-side Development Model) ที่เน้นการทำให้ ‘ตัวเรา’ ดีขึ้น เก่งขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

รากฐานของการปฏิรูปเชิงสถาบัน (Soft Infrastructure)

 

การเปลี่ยนผ่านสู่โมเดล Inside-Out ต้องอาศัยการปฏิรูปโครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจเพื่อปรับแรงจูงใจและเงื่อนไขการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

 

A. การสร้างโอกาสที่เท่าเทียมกัน (ฐานรากของพีระมิด)

รากฐานที่สำคัญที่สุดคือการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมกัน 3 มิติ:

  1. โอกาสในการเข้าถึงทรัพยากร: โดยเฉพาะทรัพยากรทางการเงิน
  2. โอกาสในการเข้าสู่ตลาด: การเข้าถึงตลาดต้องทำได้อย่างทั่วถึง
  3. โอกาสในการแข่งขันอย่างเป็นธรรม: ตลาดต้องมีกติกาที่ยุติธรรม

 

B. การปฏิรูปภาคการเงิน: เสี่ยงอย่างไรให้ทั่วถึง

ระบบการเงินไทยมี ‘สุขภาพดี’ แต่กลับ ‘ไปไม่ถึงภาคเศรษฐกิจจริง’ ภาคการเงินยังคงระมัดระวังความเสี่ยงมากเกินไป ซึ่งข้อมูลชี้ว่า SMEs มีความต้องการสินเชื่อสูง แต่สถาบันการเงินกลับเพิ่มความเข้มงวดในการให้สินเชื่อ

 

โจทย์สำคัญของประเทศรายได้ปานกลางอย่างไทย ไม่ใช่การเลือกระหว่างการให้สินเชื่อกับการระวังความเสี่ยง (Trade-off) เหมือนประเทศร่ำรวย แต่คือการ สนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจก่อน

 

  1. ซ่อม-สร้าง สินเชื่อ: ต้องเร่งบริหารหนี้เสีย (NPLs) ก่อนเพื่อ ‘ซ่อม’ งบดุลของสถาบันการเงิน จากนั้นจึง ‘สร้าง’ กลไกโยกย้ายทรัพยากรจากสินเชื่อเพื่อการบริโภคไปเป็นสินเชื่อธุรกิจที่ก่อให้เกิดรายได้

 

  1. จัดตั้ง ‘ตัวกลางเครดิต’ (Credit Mediator): สถาบันเฉพาะกิจนี้จำเป็นอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหา ความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการปล่อยสินเชื่อให้ SMEs 
  • หน้าที่หลักคือการ รวบรวมและส่งต่อข้อมูล คุณภาพระหว่างธุรกิจกับสถาบันการเงิน
  • ทำหน้าที่เป็นกลางในการประเมินโอกาสและความเสี่ยง และประสานงานให้เกิดการปล่อยสินเชื่อ
  • ควรถูกจัดตั้งเป็นสถาบันถาวร และมีบทบาทเป็น ‘Automatic Stabilizer’ ในช่วงวิกฤต

 

  1. สร้างระบบนิเวศสินเชื่อบนฐานข้อมูลข่าวสาร: ต้องใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (เช่น Mobile Banking) เพื่อลดต้นทุนการเข้าถึงข้อมูล และใช้ ‘ข้อมูลทางเลือก’ (Alternative Data) หรือรอยเท้าดิจิทัล (Digital Footprint) เพื่อประเมินศักยภาพและความเสี่ยงของผู้กู้อย่างแม่นยำและทั่วถึง.

 

C. การเสริมสร้างการแข่งขันและการเชื่อมต่อ

การสร้างตลาดแข่งขันที่มีประสิทธิภาพเป็นหลักการสำคัญ

  • Competition Advocacy: โครงสร้างเชิงสถาบันต้องให้อำนาจองค์กรกำกับดูแลการแข่งขันในการ บังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า อย่างจริงจัง เพื่อสกัดกั้นการสะสมอำนาจตลาดของกลุ่มผลประโยชน์เดิม
  • การเชื่อมต่อธุรกิจขนาดเล็กกับห่วงโซ่ของธุรกิจขนาดใหญ่: นี่คือกลยุทธ์ที่ช่วย ‘เพิ่มกำลังในการเติบโต’ ให้ SMEs โดยเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าถึงทรัพยากร (วัตถุดิบ, Trade Credit, Supply Chain Financing) และเข้าถึงตลาดที่ใหญ่ขึ้น

 

D. การกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของพลเมือง (ยอดพีระมิด)

ระบบธรรมาภิบาลสาธารณะ (Public Governance) เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น

  • การกระจายอำนาจและการคลัง: ต้องปลดล็อกการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น โดยให้ ‘อิสระทางการคลัง’ (Fiscal Autonomy) แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
  • การใช้เทคโนโลยีเพื่อปลดล็อกข้อมูล: ความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลระหว่างส่วนกลางและท้องถิ่นเคยเป็นอุปสรรค แต่ปัจจุบันสามารถใช้ แพลตฟอร์มสารสนเทศ เป็นพื้นที่กลางในการสื่อสาร ติดตาม และสนับสนุนการทำงานของท้องถิ่นได้ดีขึ้น
  • สร้างความเชื่อใจผ่านการมีส่วนร่วม: ความเชื่อใจในปัจจุบันถูกกำหนดโดย ‘ข้อมูลข่าวสาร’ และ ‘กลไกที่เอื้อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่โปร่งใส’ การสร้างกลไกที่เป็นทางการและโปร่งใสสำหรับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการออกแบบและติดตามนโยบายสาธารณะ (เช่น People’s Assembly หรือ Participatory Budgeting) จะทำให้เกิด ‘ความเชื่อใจเพราะมีส่วนร่วม’

 

 

บทสรุป: ปฏิรูปจากแรงจูงใจ สู่ความรุ่งเรืองที่แบ่งปัน

 

ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทย โดยเฉพาะปัญหา ‘การเติบโตอย่างทั่วถึง’ ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยนโยบายประชานิยมที่หวังผลระยะสั้นและแทรกแซงกลไกตลาด

 

สิ่งที่ขาดหายไปคือ โครงสร้างเชิงสถาบันที่ ‘จูงใจ’ ให้ผู้ดำเนินนโยบายและภาคประชาชนมองเห็นผลประโยชน์ระยะยาวร่วมกัน และยินดีที่จะเปลี่ยนโมเดลการเติบโต เราต้องกล้าที่จะทบทวนและปรับโครงสร้างเชิงสถาบันของหน่วยงานเศรษฐกิจหลัก เพื่อให้มี แรงจูงใจและเครื่องมือ ที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางโอกาส เพื่อให้หลุดพ้นจาก ‘วงจรรายได้น้อย-ประชานิยม’ ที่จำกัดศักยภาพประเทศได้ในที่สุด หากเราสามารถสร้างดุลยภาพทางเศรษฐกิจ-การเมือง ที่กลุ่มอำนาจและคนส่วนใหญ่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนและแบ่งปันผลประโยชน์ เราก็จะสามารถก้าวข้ามกับดักการพัฒนาได้อย่างยั่งยืน

 

“The only true and sustainable prosperity is shared prosperity.” – Joseph E. Stiglitz

 

ได้เวลาที่เราทุกคนต้องร่วมมือกัน ‘ลงมือทำ’ เพื่อเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริงครับ

 

ภาพ: Francesco Carta fotografo / Getty Images, esancai / Getty Images

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising