×

เปิดวิสัยทัศน์ วิทัย รัตนากร ผู้ว่าฯ ธปท. ทุกประเด็น! ‘ดอกเบี้ย เงินบาท แก้หนี้ กองทุนความมั่งคั่ง ฯลฯ’

11.10.2025
  • LOADING...
วิทัย รัตนากร ผู้ว่าธปท.

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดงาน ‘GovernorConnect’ ผู้ว่าฯ พบสื่อครั้งแรก หลังดำรงตำแหน่งได้ 10 วัน โดยได้เปิดเผยแนวทางการทำงาน และทิศทางนโยบายสำคัญของธปท. รวมถึงตอบคำถามของสื่อมวลชนต่างๆ ตั้งแต่ทิศทางนโยบายการเงิน ความเสี่ยงภาวะเงินฝืด เงินบาท แก้หนี้ ตั้ง AMC ไปจนถึงการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund) เป็นต้น

 

วิทัยยังระบุว่า แนวทางการทำงานของ ธปท. คือ สานต่อพันธกิจหลักของธนาคารกลาง คือ การรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว ได้แก่

  • เสถียรภาพทางการเงิน โดยเฉพาะดูแลให้เงินเฟ้อระยะปานกลางอยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน (low and stable) รวมถึงไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืด และให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะปานกลาง
  • เสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน โดยสถาบันการเงินเข้มแข็ง มีความมั่นคง สามารถให้บริการลูกหนี้ ประชาชนและธุรกิจได้ต่อเนื่อง และดูแลไม่ให้เกิดจุดเปราะบางในระบบการเงินที่อาจลุกลามกลายเป็นวิกฤตในอนาคต
  • เสถียรภาพระบบการชำระเงิน ดูแลให้ระบบมีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของประชาชน ธุรกิจ และภาครัฐ ทั้งด้านความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และด้วยราคาที่สมเหตุสมผล

“ธปท. จะดำเนินนโยบายด้วยความเป็นอิสระภายใต้กรอบกฎหมาย โดยมีหลายเรื่องที่ต้องทำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนมากขึ้น เพื่อผลักดันนโยบาย ตลอดจนจะเน้นประสานนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง (policy coordination)

สำหรับ ทิศทางนโยบายสำคัญของ ธปท. (policy priorities) ในระยะต่อไป ประกอบด้วย

  1. การสานต่อแนวนโยบายการพัฒนาภาคการเงิน โดยเฉพาะการวางรากฐานให้ภาคการเงินพร้อมรองรับกับกระแสโลกใหม่ทั้งด้านดิจิทัลและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (financial landscape) เช่น โครงการ Your Data การพัฒนาระบบ digital payment ที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ยืดหยุ่น และสนับสนุนให้ภาคเศรษฐกิจจริงเข้าถึงบริการทางการเงินครอบคลุมขึ้น รวมถึงการจัดตั้ง Virtual Bank
  2. การทำงานของ ธปท. จะใกล้ชิดกับประชาชนและสังคมมากขึ้น ผ่านการรับฟังมุมมองหรือข้อเรียกร้องจากสังคมให้รอบด้าน เพื่อประกอบการตัดสินนโยบาย และสื่อสารให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้น ตลอดจนจะมีแนวนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชนและธุรกิจที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น การแก้หนี้เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง การเพิ่มโอกาสให้ SMEs เข้าถึงสินเชื่อในระบบด้วยต้นทุนที่เหมาะสม ผ่านกลไกค้ำประกันเครดิตที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นขึ้น รวมทั้งกลไกกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่สมดุลกับความเสี่ยงของผู้กู้ (Risk-Based Pricing: RBP) ตลอดจนการทบทวนค่าธรรมเนียมของบริการทางการเงินให้เหมาะสมและเป็นธรรมขึ้น (fair pricing)

 

“ธปท. มุ่งหวังว่าการดำเนินงานตามพันธกิจควบคู่กับการออกนโยบายและมาตรการของ ธปท. จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างสมดุลเข้าสู่ศักยภาพ เพื่อให้ประชาชนและประเทศชาติได้รับประโยชน์สูงสุด”

 

‘พร้อมผ่อนคลายนโยบายการเงิน’ เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ-ดันเงินเฟ้อขึ้น

 

วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า แม้ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งที่ผ่านมา เมื่อ 7 ตุลาคม กนง ได้มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.5% ต่อปี เนื่องจาก กรรมการส่วนใหญ่อยากรอดูผลของการลดดอกเบี้ยในปีที่ผ่านมาอย่างเต็มที่ก่อน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6 – 12 เดือน และต้องการ Policy Space ในเวลาที่ ‘เหมาะสมที่สุด’ ดังนั้น วิทัยจึงมองว่า มุมมองของกรรมการไม่ได้ต่างกัน แต่ต่างกันเรื่อง เวลา (timing) ในการตัดสินใจลดดอกเบี้ยมากกว่า

 

“กนง. อยู่ในโหมดที่เข้าใจตรงกัน และระบุในแถลงการณ์ (Statement) ไว้ว่า พร้อมที่จะผ่อนคลายต่อไปเพื่อจะประคับประคองเศรษฐกิจ และดึงเงินเฟ้อขึ้น”

 

 

ยืนยันคาดการณ์เงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบ จับตา ‘ภาวะเงินฝืด’

 

ผู้ว่าฯ ธปท. ยังกล่าวถึงสถานการณ์เงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่องว่า สำหรับเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) ที่ลงมาอยู่ในระดับต่ำในปัจจุบันนั้น จากการปรับลดลงของราคาพลังงานและอาหาร ซึ่งสินค้า 2 กลุ่มนี้มีน้ำหนักรวมกันเกือบ 50% ของตะกร้าเงินเฟ้อ ด้วยน้ำหนักที่สูงนี้เอง จึงส่งผลให้เงินเฟ้อทั่วไปดูต่ำกว่าที่รู้สึก

 

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ซึ่งไม่รวม พลังงาน น้ำมัน และอาหารออกไป คาดการณ์เงินเฟ้อพื้นฐานสำหรับปีนี้และปีหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 0.9% โดยตัวเลขนี้ถือว่าอยู่ใกล้เคียงกับกรอบล่างของเป้าหมายอยู่แล้ว พร้อมยืนยันว่า คาดการณ์เงินเฟ้อระยะปานกลาง ซึ่งธปท. พิจารณาเป็นหลัก ยังอยู่ในกรอบที่ 1-3%

 

ส่วนในประเด็นความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินฝืดนั้น วิทัยกล่าวว่า ในทางเศรษฐศาสตร์ว่า Core Inflation จะต้องติดลบลงไปในระดับลึก นอกจากนี้ การลดลงของราคาสินค้าโดยรวมจะต้องปรับลดลงในวงกว้าง ณ ปัจจุบัน แต่จากการประเมินพบว่า การลดลงของราคาสินค้ายังไม่เกิดขึ้นในวงกว้าง

 

 

เงินบาทต้องอยู่ในจุดที่เหมาะสมตามพื้นฐาน เร่งหา ‘เงินไม่รู้ที่มา’

 

ผู้ว่าฯ ธปท. ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับค่าเงินบาท โดยระบุว่า การเคลื่อนไหวของเงินบาทบางครั้งไม่ได้มาจากปัจจัยภายใน แต่เป็นผลจากดอลลาร์สหรัฐและกระแสเงินทุนไหลเข้า-ออก สำหรับกระแสเงินทุนที่น่าสงสัยและส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ธปท. ทำงานร่วมกับ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง

 

“ผมให้ความสำคัญกับค่าเงินบาท ซึ่งควรต้องอยู่ในจุดที่เหมาะสมตามพื้นฐานเรา แต่ก็ต้องยอมรับว่า บางทีเงินบาทไม่ได้แข็งเพราะเรา แต่แข็งเพราะว่าเงินเข้าด้วย แข็งเพราะสหรัฐฯ ด้วย แต่ว่าอะไรที่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราก็ต้องพยายามสกัดไม่ให้มันเกิดผลเสียต่อประเทศ” วิทัยกล่าว

 

 

 

คาด AMC ชัดเจนสิ้นตุลาคม ตั้งเป้าช่วยรายย่อย 2-3 ล้านราย มีหนี้เสียต่ำกว่า 100,000 บาท

 

ผู้ว่าฯ ธปท. ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company : AMC) โดยระบุว่า แนวคิดดังกล่าวถือเป็นนโยบายที่หลายภาคส่วนกำลัง ‘หารือร่วมกัน’ ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ) กระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย เป็นต้น

โดยเบื้องต้นมีแนวทางที่จะช่วยเหลือประชาชนรายย่อย ที่มีหนี้เสีย (NPL) ต่ำกว่า 100,000 บาท ซึ่งคาดว่า มีประมาณ 2-3 ล้านคน

 

วิทัยย้ำต่อว่า จะมีการกำหนด Cut-off date สำหรับผู้ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการนี้ เพื่อทำให้แน่ใจว่า การช่วยเหลือนี้จะไม่ใช่สำหรับผู้ที่กำลังจะเสียวินัยทางการเงินในอนาคต

 

สำหรับกลไกมาตรการนี้ หนี้เสียจะถูกโอนไปยัง AMC ในราคาที่ถูกกว่ามูลหนี้จริง (สมมติลูกหนี้มีหนี้ 100 บาท) เพื่อให้สามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้ในลักษณะที่ผ่อนปรนมาก ๆ ทำให้ลูกหนี้สามารถปลดหนี้ได้เร็วขึ้น เนื่องจากหากไม่ช่วยเหลือ ลูกหนี้กลุ่มนี้จะไม่สามารถชำระหนี้เต็ม 100 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมได้

 

วิทัยยังเผยว่า แนวทางที่กำลังพูดคุยกันอย่างไม่ตกผลึก แต่มีแนวโน้มสูงที่จะเกิดขึ้น คือ การใช้บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) ซึ่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ถือหุ้นอยู่ 100% โดยเตรียม SAM ปรับบทบาทให้เป็น ‘Social AMC’ เพื่อทำภารกิจในการช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะ ขณะที่ AMC อื่น เช่น บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ ธปท. ก็จะมีหน้าที่อื่นๆ เช่น ต่อผู้ถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป

 

ผู้ว่าฯ ธปท. เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังดูอยู่ว่า จะใช้เงินตรงไหน โอนอย่างไร ในราคาเท่าไหร่ แต่คาดว่า รายละเอียดต่างๆ จะชัดเจนขึ้นภายในสิ้นเดือนตุลาคม โดยหากความชัดเจนจบ ก็จะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณา ก่อนจะคาดว่า เริ่มดำเนินการโครงการนี้ได้ในช่วงต้นปีหน้า

 

โดยกลุ่มเป้าหมายคาดว่า จะแบ่งเป็น 4 กลุ่มหลักได้แก่

  1. ลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ ที่คาดว่า เข้าข่ายประมาณ 700,000 บัญชี
  2. ลูกหนี้ของนอนแบงก์ (Non-Bank) ที่เป็นบริษัทในเครือธนาคารพาณิชย์ ที่คาดว่า เข้าข่ายประมาณ 800,000 บัญชี
  3. ลูกหนี้จากสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFI) ที่คาดว่า เข้าข่ายประมาณ 800,000 บัญชี
  4. ลูกหนี้ของนอนแบงก์ (Non-Bank) ที่ไม่ใช่เครือแบงก์พาณิชย์

 

โดยผู้ที่จะได้รับการช่วยเหลือเป็นอันดับแรกมีจำนวนประมาณ 2 ล้านกว่าบัญชี ซึ่งกลุ่มนี้จะรวมถึงลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์ ลูกหนี้นอนแบงก์ (Non-Bank) ที่เป็นบริษัทในเครือธนาคารพาณิชย์ และของ SFI ก่อน

 

ส่วนลูกหนี้ของนอนแบงก์ (Non-Bank) ที่ไม่ใช่เครือแบงก์พาณิชย์ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา แนวทางการช่วยเหลือ เนื่องจากมีปัจจัยที่แตกต่างกัน ทั้งด้านราคา แหล่งที่มาของเงิน และวิธีการเจรจา เป็นต้น

 

 

ไม่มีความคิดตั้ง ‘กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ’

 

ผู้ว่าฯ ธปท. ย้ำไม่มีความคิดตั้ง ‘กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ’ (Sovereign Wealth Fund: SWF) โดยอธิบายว่า เงินสำรองระหว่างประเทศ (International Reserves) โดยหลักการแล้วควรเป็นเงินตราต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ และทองคำ เพื่อไว้ Back ธนบัตรไทย เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง

 

ดังนั้น การเสนอตั้ง SWF เพื่อลดการแข็งค่าของเงินบาท หากเลือกใช้เงินสำรองฯ ส่วนนี้ของธปท. ก็จะไม่มีผลต่อค่าเงินบาทเลย แต่หากต้องการอยากให้มีผลต้องใช้เงินบาทตั้งต้นใหม่เพื่อนำไปซื้อเงินดอลลาร์แล้วนำไปบริหารอีกที (ทำให้เกิดความต้องการซื้อเงินดอลลาร์ ขายเงินบาท ทำให้บาทอ่อน)

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising