สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดการประชุมประจำปี 2568 ของ สศช. ภายใต้หัวข้อ ‘ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย (Thailand Institutional Reform)’ เพื่อเล่าถึงปัญหาโครงสร้างที่ฝังลึกซึ่งเกิดจาก ‘โครงสร้างที่บิดเบี้ยวและสถาบันที่อ่อนแอ’ พร้อมแนวทางในการออกจากปัญหานี้
ดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือประธานสภาพัฒน์ กล่าวเปิดงานการประชุมในงานนี้ได้ระบุเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องหันกลับมามองลงไปถึงรากฐานและโครงสร้างของประเทศว่ากลไกใดที่หยุดชะงัก และสาเหตุอะไรที่ส่งผลกระทบให้ประเทศไทยไม่สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้
ไทยติดกับดักรายได้ปานกลาง-ศักยภาพลดลงอย่างต่อเนื่อง
ดร. ศุภวุฒิ กล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูงมาก ด้วยการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาค มีทำเลที่ตั้งที่ดี ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ อุตสาหกรรมที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน รวมถึงมีทุนทางวัฒนธรรมที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ ซึ่งประเทศไทยควรจะเป็นประเทศที่มีรายได้สูง มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงประเทศไทยกำลังประสบปัญหาและความท้าทายอย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลขทางเศรษฐกิจสะท้อนอย่างชัดเจนว่า ดังต่อไปนี้
- เศรษฐกิจไทยเติบโต หรือ GDP ต่ำกว่า 5% อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (2550-2554) การเติบโตดังกล่าวนั้น ไม่เพียงพอที่จะทำให้ประเทศไทยก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง
- ความสามารถในการแข่งขันตกต่ำ โดยความสามารถในการแข่งขันของประเทศดูเหมือนว่าจะลดลงไปเรื่อย ๆ โดยการจัดลำดับของ International Institute for Management Development (IMD) ในปีล่าสุด พบว่า ประเทศไทยตกอันดับไปอยู่ที่ 30 จาก 69 เขตเศรษฐกิจ ซึ่งลดลงถึง 5 อันดับจากปีที่ผ่านมา
- ประสิทธิภาพภาครัฐดิ่งลงมากที่สุดใน 10 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ ที่ปรับตัวลดลงถึง 8 อันดับ ไปอยู่ที่อันดับ 32 ซึ่งถือว่าเป็นการปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบ 10 ปี
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนอย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ ข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง ที่ฉุดทั้งศักยภาพในการเติบโต และลดทอนความเชื่อมั่นของภาคเอกชนและประชาชน
ชี้ 5 ปัญหาโครงสร้างหลัก ระบบบิดเบี้ยว-สถาบันอ่อนแอ
ดร. ศุภวุฒิ ระบุว่า สิ่งที่เราต้องยอมรับคือ ประเทศไทยไม่สามารถพัฒนาไปได้อีกหากยังคงมี ‘โครงสร้างที่บิดเบี้ยวและสถาบันที่อ่อนแอ’ ปัญหาหลักที่ฝังลึกและเป็นโครงสร้างที่ฉุดรั้งประเทศ ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือมองข้ามไปได้อีกต่อไป มีอย่างน้อย 5 ด้านสำคัญ ได้แก่
- ระบบระเบียบกฎหมาย ที่มีจำนวนมาก ล้าสมัย และไม่เอื้อต่อการแข่งขัน
- หลักนิติธรรมที่ไม่เข้มแข็ง ซึ่งเป็นปัจจัยที่เพิ่มความไม่แน่นอน เพิ่มต้นทุนที่ไม่จำเป็น และลดทอนความน่าเชื่อถือของประเทศ
- ทุจริตคอร์รัปชัน ที่บิดเบือนโครงสร้างแรงจูงใจ และลดทอนความเชื่อมั่นของประเทศในภาพรวม
- ประชาธิปไตยที่ยังไม่มั่นคง ซึ่งไม่สามารถสร้างกติกาที่เปิดกว้างและเป็นธรรมได้ การขาดกติกาที่เป็นธรรมนี้อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และสร้างการผูกขาดทางการค้า ซึ่งจะลดเสถียรภาพของเศรษฐกิจทั้งระบบ
- ประสิทธิภาพของภาครัฐ ที่มีขนาดใหญ่เทอะทะและมีต้นทุนสูง รวมถึงปัญหาการทำงานที่แยกส่วน ขาดการบูรณาการ ระบบงบประมาณที่ไม่เชื่อมโยงกับผลลัพธ์ และปัญหาช่องว่างทางการคลังที่แคบลง
ภาพ : ดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
จุดเริ่มต้นของการ ‘ยกเครื่อง’ สู่แผนพัฒนา ฉบับที่ 14
ดร ศุภวุฒิย้ำว่า ปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้คือ เงื่อนไขสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของประเทศ ดังนั้น ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องยกเครื่อง เพื่อให้ก้าวข้ามข้อจำกัดเดิม และสร้างศักยภาพใหม่ในการรับมือกับโลกที่มีความซับซ้อนและไม่แน่นอนมากขึ้น
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การประชุมครั้งนี้จะเป็นเวทีแลกเปลี่ยนที่ช่วยกำหนดทิศทางใหม่ ทั้งเพื่อปรับปรุงการขับเคลื่อนแผนพัฒนา ฉบับที่ 13 ในช่วงเวลาที่เหลือ และเพื่อปูรากฐานสู่แผนพัฒนาฉบับที่ 14 ซึ่งจะเริ่มต้นในปี 2571-2575 ให้เป็นแผนที่เกิดขึ้นได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม
“ผมหวังว่าการประชุมในวันนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทยอย่างแท้จริง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น สร้างโอกาส และความหวังให้กับประชาชน และเพื่อปลดล็อกศักยภาพการแข่งขันที่ยั่งยืนของประเทศต่อไป” ดร. ศุภวุฒิกล่าวทิ้งท้าย
เลขาฯ สภาพัฒน์ ชี้ ภาวะชะงักงันของการพัฒนาของการพัฒนาประเทศแล้ว
ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้กล่าวถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปโครงสร้างประเทศ โดยระบุว่า ปัญหาการปรับโครงสร้างทั้งภาคอุตสาหกรรม บริการ และการศึกษา ได้มีการพูดถึงมานาน แต่ประเทศกลับไม่สามารถเดินหน้าไปได้ตามที่คาดหวัง
ทบทวน 2 ปีครึ่งของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ยังห่างไกลเป้าหมาย
เลขาธิการ สศช. ได้ทบทวนการขับเคลื่อน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (ปี 2566 – 2570) ซึ่งมี 5 เป้าหมายหลัก เช่น การปรับโครงสร้างการผลิตและบริการ, การพัฒนาคน, การสร้างสังคมที่เป็นธรรม
ในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2566 พบว่ามีการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินที่เกี่ยวข้องกับแผนฯ เฉลี่ยประมาณ 1 ล้านล้านบาทต่อปี ครอบคลุมโครงการประมาณ 9,000 โครงการ และแผนปฏิบัติการระดับ 3 อีกกว่า 1,200 แผน
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ออกมายังไม่เป็นไปตามที่ต้องการ สะท้อนจากข้อมูลต่อไปนี้
- รายได้ประชาชาติ (GNI) ตัวชี้วัดที่ 1 กำหนดเป้าหมายไว้ที่ 9,300 ดอลลาร์ต่อปี ณ สิ้นปี 2570 แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 7,400 ดอลลาร์ต่อปี ทำให้การขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง
- ดัชนีความก้าวหน้าของคน (HAI) ประเทศตั้งเป้าให้อยู่ที่ประมาณ 0.7 แต่ปรากฏว่าในข้อมูลปี 2567 และ 2566 ได้ถอยหลังลงจากปี 2565 ซึ่งเกี่ยวข้องกับศักยภาพคนและคุณภาพชีวิต การไปให้ถึงเป้าหมายในปี 2570 ถือเป็นความท้าทายที่รุนแรงมาก
- ความเหลื่อมล้ำ ช่องว่างการใช้จ่ายระหว่างกลุ่มคนรวย 10% บน กับ 40% ล่าง อยู่ที่ประมาณ 5.22 เท่า ซึ่งใกล้เคียงเป้าหมายที่ต้องการให้ต่ำกว่า 5 เท่า แต่ก็ยังเป็นเรื่องท้าทายในการบีบช่องว่างนี้ให้แคบลง
งบประมาณ 1 ล้านล้านไปไหน ส่วนใหญ่คือ ‘งานปกติ’
ดนุชา ตั้งคำถามว่า งบเงินเฉลี่ย 1 ล้านล้านบาทที่ลงไปเพื่อขับเคลื่อนแผนฯ นั้น ถูกใช้ไปกับอะไรบ้าง
- กว่า 50% เป็นค่าใช้จ่ายด้านการประกันสุขภาพถ้วนหน้า การรักษาพยาบาล สวัสดิการสังคม และการศึกษา เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง
- ประมาณ 18% เป็นเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งส่วนใหญ่คือ ถนน (ถือเป็นงานรูทีนปกติ)
- ประมาณ 10% เป็นงบประมาณในภาคเกษตร (ประมาณแสนล้านต่อปี) ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการจัดการด้านอุปทาน (Supply) เช่น การขุดลอกอ่างเก็บน้ำ หรือการแจกเมล็ดพันธุ์
ปัญหาสำคัญคือ งบประมาณส่วนใหญ่ไม่ได้เน้นการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าหรือสร้างการเติบโตใหม่ โดยขาดการลงทุนเพื่อเพิ่มผลิตภาพของภาคเกษตร การนำเทคโนโลยีมาใช้ การแปรรูปสู่สินค้ามูลค่าสูง (Agri-industry) หรือการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เช่น MedTech หรือ Medical Industry
“ทั้งหมดทั้งปวงเนี่ย มันเป็นข้อสรุปที่ว่า การทำงานที่ผ่านมาเนี่ย มันเป็นการทำงานในลักษณะที่เป็นงานปกติ ไม่ได้เป็นการทำในเรื่องใหม่ ๆ ที่มันจะสามารถที่จะขับเคลื่อนให้ประเทศเราเนี่ย ก้าวขึ้นมาอยู่จุดที่สามารถจะสร้างอัตราการไหลตัวเศรษฐกิจให้สูงขึ้นได้” ดนุชากล่าว
สถาบันที่เป็นอุปสรรค ตัวฉุดความสามารถในการแข่งขัน
เลขาธิการ สศช. เน้นย้ำว่า การพัฒนาของไทยอาจจะชะงักงันมานานแล้ว เนื่องจากเราทำเรื่องเดิม ๆ และไม่ได้แก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่า 5% มาโดยตลอดนั้น ไม่เพียงพอ ที่จะพาไทยขึ้นสู่ประเทศรายได้สูงได้ นับตั้งแต่ปี 2552 เศรษฐกิจไทยก็ไม่สามารถกลับมาเติบโตสู่จุดเดิมได้เลยหลังเกิดวิกฤต
ปัจจัยที่ฉุดรั้งความสามารถในการแข่งขันของไทยอย่างมากคือ 2 เรื่องหลัก ดังนี้
- โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) แม้โครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพ เช่น ถนน, รถไฟ, สนามบิน จะอยู่ในอันดับดี ประมาณอันดับ 20-22 แต่โครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาและเทคโนโลยี กลับอยู่ในลำดับที่ต่ำมาก (50 กว่า) ทำให้ภาพรวมถูกดึงลงมา
- ประสิทธิภาพภาครัฐ (Government Efficiency) ลำดับล่าสุดลดลงมาอยู่ที่ 32 ปัญหาภายในคือ การบริหารสถาบัน กฎระเบียบทางธุรกิจ และธรรมาภิบาลทางสังคม
โดยปัญหาเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำ โดยรายได้ระหว่างคนรวย 10% บน กับกลุ่มเปราะบาง 10% ล่าง แตกต่างกันประมาณ 10 กว่าเท่า และมีแนวโน้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
ดนุชาชี้ว่า ปัญหาทั้งหมดไม่ใช่เรื่องชั่วคราว แต่เป็นที่ระบบอยู่มานาน ซึ่งเป็นผลจากการบริหารในเชิงสถาบันที่ทำให้การทำงานด้านการพัฒนามีความล่าช้าและถดถอย
ภาพ : ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
5 ปัญหาเชิงสถาบัน ที่ต้อง ‘กล้า’ ปรับเปลี่ยน
ปัญหาสำคัญในเชิงสถาบันของไทย ณ วันนี้มีอยู่ 5 ด้าน ซึ่งส่งผลต่อ Trust, Confidence, และ Accountability ที่ต้องแก้ไข ดังนี้
- กฎหมายและกฎระเบียบ หากเป็นอุปสรรคหรือทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ย่อมจำกัดโอกาสในการสร้างธุรกิจ และลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน
- การทุจริต เป็นต้นทุนให้แก่ภาคธุรกิจและประชาชน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อรายได้ต่อหัวของคนในประเทศ
- หลักนิติธรรม กระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้าเกินกว่าที่คาดหวัง (ยกตัวอย่างคดีในตลาดทุนที่ต่างประเทศใช้เวลาเพียง 4-5 เดือน) ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น
- ความไม่แน่นอนทางการเมือง ความไม่แน่นอนในระบอบประชาธิปไตยส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุน อย่างไรก็ตาม จุดที่น่าหวังคือการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนที่เพิ่มขึ้น อาจช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ถูกแทรกแซงด้วยวิธีการอื่น และช่วยให้การดำเนินนโยบายมีความต่อเนื่อง
- การจัดการภาครัฐ ระบบราชการมีขนาดใหญ่และเต็มไปด้วยกฎระเบียบ การทำงานมีลักษณะ ควบคุม (Control) มากกว่า อำนวยความสะดวก (Facilitate) ระบบระเบียบเหล่านี้ทำให้ข้าราชการเองก็ไม่กล้าสร้างนวัตกรรมในการบริหารงาน เพราะเกรงจะมีปัญหาทางกฎหมาย ทำให้ระบบไม่สามารถตอบสนองต่อการพัฒนาภาพใหญ่ได้จริง
ปัญหาฉุกเฉินกับ 5 โจทย์ที่ต้องรีบแก้เร่งด่วน
ดนุชาสรุปว่า หากประเทศไม่ปรับปรุงเรื่อง Trust, Confidence และ Accountability เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ช้าลงเรื่อย ๆ และผลประโยชน์จากการพัฒนาจะกระจุกตัวอยู่แค่บางกลุ่ม พร้อมทั้งเตือนว่าอนาคตไทยจะเผชิญปัญหาที่รุนแรงขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์โลก (Political Global Landscape, Aging Society, Geopolitics)
เลขาธิการ สศช. ระบุว่า แม้สำนักงานฯ ยังไม่มีคำตอบทั้งหมด แต่ขอฝาก 5 เรื่องที่ต้องกล้าทำ หากต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง มีดังนี้
- ความมุ่งมั่นและแน่วแน่ ต้องลงมือทำจริง ไม่ใช่แค่พูด
- ร่วมมือกันลงมือทำ (Action Together) ต้องทำร่วมกัน ไม่ใช่ทำคนเดียว
- สร้างแรงกดดัน (Pressure) หากมีการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ภาคเอกชนต้องช่วยกันกดดันอย่างหนัก เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ
- สร้างสถาบันและกติกาใหม่ ต้องมีกรอบและกติกาใหม่ ๆ เพื่อขับเคลื่อนประเทศให้เร็วขึ้น
- ถือเป็นเรื่องฉุกเฉิน (Emergency) เป็นเรื่องที่รอไม่ได้ ต้องทำทันที
“ถ้าเรากล้าที่จะเปลี่ยนแปลง เราก็จะได้ประเทศไทยในฝันของเรากลับมา” ดนุชา กล่าวทิ้งท้าย