×

อ่านเกม Geo-Economics ‘สนามรบใหม่’ ในโลกแบ่งขั้ว

23.09.2025
  • LOADING...
เวทีเสวนา Thailand Security Dialogue 2025 วิเคราะห์ Geo-Economics

ยุค ‘โลกาภิวัตน์ (Globalisation)’ ที่เศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก หลอมรวมและเชื่อมโยงกัน เกิดขึ้นยาวนานนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ท่ามกลางการปรับตัวและมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในด้านต่างๆ ภายใต้ความเชื่อมั่นว่า ความร่วมมือและการพึ่งพาอาศัยกันจะทำให้ ‘ทุกประเทศ’ เติบโตไปพร้อมกัน

 

อย่างไรก็ตาม ไม่กี่ทศวรรษต่อมา ความเป็นจริงที่ปรากฏกลับกลายเป็นตรงข้าม โลก ณ ปัจจุบันกำลังเข้าสู่ยุคแห่งความผันผวนของระเบียบโลก เกิดการแตกแยกแบ่งขั้วของมหาอำนาจ ทั้งในเชิงการเมือง ความมั่นคง และเศรษฐกิจ ในขณะที่เส้นแบ่งผลประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) และภูมิเศรษฐศาสตร์ (Geoeconomics) ทวีความเข้มข้นขึ้น ส่งผลให้ความท้าทายที่กระทบต่อ ‘ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ’ กลายเป็นประเด็นสำคัญของทุกประเทศรวมถึงไทย

 

บนเวที Economic Security in the Era of Fragmented World ภายในงาน Thailand Security Dialogue 2025  ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-31 สิงหาคมที่ผ่านมา มีการอภิปรายประเด็นจากหลายผู้เชี่ยวชาญ  ซึ่งชี้ตรงกันว่า “โลกไม่ได้เผชิญการแบ่งขั้วแค่เรื่องอำนาจหรือการทหารอีกต่อไป” 

 

โดยสนามแข่งขันหลักในตอนนี้ ขยับขยายไปสู่มิติเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น ‘สนามรบใหม่’ ที่มหาอำนาจ เริ่มหันมาใช้ขุมอำนาจทางเศรษฐกิจ เป็นอาวุธในการห้ำหั่นและแสวงหาความยิ่งใหญ่

 

การแข่งขันเชิงภูมิเศรษฐศาสตร์เต็มรูปแบบ 

 

มาร์ค แซกเซอร์ (Mr. Marc Saxer) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท (Friedrich Ebert Stiftung: FES)  ชี้ให้เห็นว่า โลกหลังสงครามเย็นกำลังเปลี่ยนจากการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ไปสู่การแข่งขันเชิงภูมิเศรษฐศาสตร์อย่างเต็มรูปแบบ 

 

โดยหลายปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ และพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับจีน ต่างมองโลกด้วยมุมมองที่ตรงกันข้าม ฝ่ายจีนมองว่า ตนเองถูกปิดล้อมและจำกัดเสรีภาพในการเติบโต ในขณะที่สหรัฐฯ เห็นว่า การขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของจีนเป็นการคุกคามโดยตรง 

 

แซกเซอร์ชี้ว่า หนึ่งในประเด็นร้อนและตึงเครียดที่สุดสำหรับฝ่ายสหรัฐฯ​ และจีน คือกรณี ‘ไต้หวัน’ ซึ่งในอนาคตอาจกลายมาเป็นชนวนความขัดแย้งรุนแรงระหว่างสหรัฐฯ​ และจีน แม้ทั้งสองฝ่ายจะตระหนักว่า การเผชิญหน้าทางทหารนั้นไม่ใช่ทางเลือกที่สร้างประโยชน์แก่ฝ่ายใด

 

อีกมุมที่แซกเซอร์จับตามอง คือการล้อมกรอบจีน โดยฝ่ายสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร ที่มีการตั้งฐานทัพและสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางทะเล จากญี่ปุ่นลงมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

นอกจากนี้ยังมีประเด็นข้อกังวลของจีนเรื่องช่องแคบมะละกา ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงหากถูกปิดกั้นเส้นทางขนส่งพลังงานและการค้า ทำให้จีนต้องเร่งดำเนินโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง และขยายเส้นทางขนส่งผ่านปากีสถานและเมียนมาเพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาเส้นทางเดียว พร้อมทั้งเดินเกมคุมอำนาจในทะเลจีนใต้อย่างจริงจัง 

 

โดยแซกเซอร์ชี้ว่า ฝ่ายสหรัฐฯ มองการเคลื่อนไหวเหล่านี้ว่าเป็นเพียงภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้านความมั่นคงที่ต่างฝ่ายต่างไม่ไว้วางใจกัน ซึ่งประเด็นไต้หวันนั้น กลายเป็นจุดเปราะบางที่สุดของความไม่ไว้ใจนี้

 

อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าความตึงเครียดระหว่าง 2 ขั้วมหาอำนาจ ยังไม่อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารเต็มรูปแบบได้ โดยทั้งสองฝ่ายต่างตระหนักว่า ความขัดแย้งจะก่อให้เกิดต้นทุนมหาศาลและอาจลุกลามไปถึงการใช้อาวุธนิวเคลียร์ จึงเลือกสู้กันใน ‘สมรภูมิเศรษฐกิจ’

 

ตัวอย่างที่ชัดเจน คือการทำสงครามการค้าและมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของทรัมป์ ซึ่งเป็นการนำตลาดภายในประเทศมาใช้เป็นอาวุธ ในขณะที่จีนและสหภาพยุโรปเองก็ใช้มาตรการคล้ายกัน ทำให้โลกเริ่มขยับไปจากระบบการค้าและเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ไปสู่ระบบของการ ‘ปกป้องตนเอง’ ด้วยกำแพงการค้าและการควบคุมด้านเทคโนโลยี

 

โมเดล ‘ฝูงห่านบิน’ อาจใช้ไม่ได้อีก

 

นอกจากนี้ การจัดระเบียบห่วงโซ่อุปทานใหม่ด้วยแนวทาง Reshoring (การย้ายการผลิตกลับประเทศบ้านเกิด), Nearshoring (การย้ายการผลิตไปยังประเทศใกล้เคียง) และ Friend-shoring (การย้ายการผลิตไปยังประเทศที่เป็นมิตร) กำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกอย่างสิ้นเชิง

 

โดยประเทศที่เคยได้เปรียบจากโมเดลการพัฒนาที่เรียกว่า “ฝูงห่านบิน” หรือการพัฒนาที่อาศัยเพียงแรงงานราคาถูกและการส่งออก จะไม่สามารถพึ่งพาโมเดลนี้ได้อีก เพราะการผลิตในอนาคตจะขับเคลื่อนด้วยหุ่นยนต์และ AI 

 

ขณะที่การเติบโตด้วยการส่งออก จะเผชิญข้อจำกัดจากการกีดกันทางการค้าของมหาอำนาจ และอุตสาหกรรมในประเทศอาจถูกทำลายจากการผลิตสินค้าที่ล้นเกินของจีน

 

มาดาม เซือง ทู เฮือง (Madame Duong Thu Huong) จากหอการค้าเวียดนาม-ไทย  นำเสนอมุมมองสำหรับเวียดนามและประเทศไทย โดยเน้นย้ำ 3 สิ่งสำคัญที่อาเซียนและไทยควรดำเนินการเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต ได้แก่

 

  1. การลงทุนในนวัตกรรม: โดยไทยมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งในเกษตรกรรม การท่องเที่ยว การผลิต แต่ในอนาคตต้องลงทุนด้าน R&D โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น AI, ไบโอเทค, พลังงานสะอาด โดยผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับจุดแข็งของไทย
  2. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Capital): ต้องปฏิรูประบบการศึกษาและการฝึกอบรม เพื่อเน้นการคิดเชิงวิพากษ์ ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะดิจิทัล การเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นทักษะการเอาตัวรอด และต้องพัฒนาทักษะเฉพาะทางที่จำเป็นสำหรับอนาคต
  3. ความเท่าเทียมและครอบคลุม (Inclusivity): การเติบโตต้องกระจายไปถึงทุกคน สนับสนุน SMEs สตรี และกลุ่มคนที่ด้อยโอกาส ไม่ให้ความมั่งคั่งกระจุกตัวอยู่แค่ในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังต้องเชื่อมั่นและให้อำนาจแก่คนหนุ่มสาว

 

เธอยังเน้นย้ำถึงความโปร่งใสและการต่อต้านคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพราะหากปราศจากความไว้วางใจ การลงทุนระยะยาวก็จะไม่เกิดขึ้น

 

ไทยต้องวางยุทธศาสตร์รับมือ สั้น-กลาง-ยาว

 

ด้าน ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ชี้ว่า ในอนาคตโลกจะแตกแยกและทวีความซับซ้อนมากขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงสงครามการค้า แต่ยังรวมไปถึงสงครามเทคโนโลยี ทั้ง AI, ไบโอเทค, ควอนตัมคอมพิวติ้ง และสงครามในตลาดการเงิน เช่น สกุลเงิน BRICS, การลดการพึ่งพาดอลลาร์ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์อื่นๆ 

 

เขาเสนอนโยบายว่า ประเทศไทยต้องวางยุทธศาสตร์รับมืออย่างรอบด้าน ทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว ได้แก่

 

  • ระยะสั้น (Short Run): บรรเทาผลกระทบจากการกีดกันทางการค้า และผลกระทบทางอ้อมจากจีนและอินเดียที่ส่งออกสินค้ามายังไทยมากขึ้น

 

  • ระยะกลาง (Medium Run): ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ จาก 20% เหลือ 10% ใน 3 ปี โดยหาตลาดใหม่ในอาเซียน จีน อินเดีย ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา

 

  • ระยะยาว (Long Run): สร้างระบบนโยบายที่ถูกต้อง เชื่อว่าการค้าเสรีจะกลับมา เตรียมพร้อมสำหรับการหยุดชะงักทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และการปกป้องตนเองในด้านความมั่นคงทางอาหาร พลังงาน และยา หากเกิดสงคราม

 

แต่ท่ามกลางความท้าทายต่างๆ ดร. กอบศักดิ์ มองว่าในอนาคต เอเชียจะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของโลก และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จะทำให้บางพื้นที่ไม่น่าสนใจ ซึ่งการที่จีนเริ่มทำธุรกิจยากขึ้น ทำให้เหลือเพียงอินเดียและอาเซียนเป็นจุดหมายหลัก 

 

โดยไทยมีโอกาสที่ดีในการดึงดูดการลงทุนทางตรง หรือ FDI เห็นได้จากตัวเลข BOI ที่เพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ เพราะหลายพื้นที่อย่างรัสเซียและจีนไม่เอื้อต่อการลงทุนจากความตึงเครียดทางการเมืองและความขัดแย้ง

 

ซึ่งการเสริมศักยภาพด้านอุตสาหกรรมก้าวหน้า เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า และ Data Center จะเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยต้องเร่งคว้า แต่มีเงื่อนไขคือ ไทยต้องรักษาความเป็นกลางทางภูมิรัฐศาสตร์เพื่อดึงดูดทุกฝ่าย เพราะการเลือกข้าง หรือเอนเอียงไปยังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป อาจทำให้ต้องสูญเสียอีกครึ่งโลกไป

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising