×

จากอินโดนีเซีย เนปาล ถึงฝรั่งเศส เสียงประท้วงจากปัญหาเชิงโครงสร้าง และบทเรียนสำหรับไทย

16.09.2025
  • LOADING...
ผู้คนประท้วงในอินโดนีเซีย เนปาล และฝรั่งเศส แสดงความไม่พอใจต่อปัญหาเชิงโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจ

 

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา การเมืองโลกต้องสั่นสะเทือนจากสามเหตุการณ์ประท้วงครั้งใหญ่ซึ่งเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งในประเทศอินโดนีเซีย เนปาล และล่าสุดคือฝรั่งเศส ดังที่จะเห็นภาพของถนนที่เต็มไปด้วยคลื่นการประท้วงของผู้คนที่ออกมาเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 

 

ซึ่งแม้ทั้งสามประเทศจะอยู่คนละฟากฝั่งและห่างกันกว่าพันกิโลเมตร แต่หากสังเกตดูจะพบว่าภูมิหลังของเหตุประท้วงล้วนมีสาเหตุมาจากรากฐานปัญหาที่คล้ายกัน นั่นคือ “ระบบการเมืองและเศรษฐกิจที่ไม่อาจตอบสนองต่อความคาดหวังของประชาชนได้อย่างแท้จริง” จนสะสมเป็นความไม่พอใจต่อฝ่ายบริหารในประเทศ และกลายเป็นระเบิดเวลาที่ทำให้เกิดวิกฤติศรัทธาในที่สุด

 

ดังนั้น หากมองให้ลึกยิ่งขึ้น เบื้องหลังของเหตุการณ์ประท้วงนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่ปฏิกิริยาความไม่พอใจของสังคมต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า แต่อันที่จริงมันซ้อนทับกันมาจากหลายเหตุผลปัจจัยที่เราควรพิจารณาเพื่อถอดบทเรียน

 

เมื่อปัญหาเชิงโครงสร้างกลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้ผู้คนลงถนน คำถามที่ตามมาคือ เราจะสามารถมองที่มาของเหตุประท้วงครั้งใหญ่นี้ผ่านทางจุดร่วมใดได้บ้าง และบทเรียนจากเหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนอะไรให้กับสังคมไทยที่กำลังเผชิญโจทย์คล้ายกันอยู่นี้?

 

รัฐไม่แยแสประชาชน – ความเหลื่อมล้ำทางสังคมพุ่ง

 

การประท้วงในอินโดนีเซียเริ่มขึ้นก่อนเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ชนวนสำคัญมาจากประเด็นการเพิ่มเบี้ยเลี้ยงและผลตอบแทนให้กับสมาชิกรัฐสภา ทั้งที่ในความเป็นจริง ผู้คนจำนวนมากกำลังเผชิญภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

รายงานระบุว่า งบประมาณสำหรับค่าที่พัก ซึ่งเป็นสวัสดิการหนึ่งของ สส. นั้น มีมูลค่ากว่า 50 ล้าน รูเปียห์ ต่อเดือน (ประมาณ 1 แสนบาท) สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำในจาการ์ตาถึงกว่า 10 เท่าตัว 

 

เหตุการณ์ประท้วงในเนปาลเกิดขึ้นตามมา แรกเริ่มเกิดมาจากการตั้งคำถามถึงความเป็น ‘อภิสิทธิ์ชน’ ของบรรดาลูกหลานนักการเมืองที่ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย จนเกิดเป็นกระแส Nepo Baby บนโซเชียลมีเดีย 

 

ต่อมา กระแสบนอินเทอร์เน็ตได้นำไปสู่การวิพากษ์เรื่องคอร์รัปชันที่มีมาอย่างยาวนาน รัฐบาลเนปาลจึงเลือกตอบโต้โดยการแบน โซเชียลกว่า 26 แพลตฟอร์ม ด้วยอ้างเหตุผลว่า “ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของรัฐบาล” เหตุการณ์นี้จึงได้จุดไฟท่ามกลางคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มเจน Z ให้ออกมารวมตัวเคลื่อนไหวในท้องถนน

 

สำหรับฝรั่งเศส ชนวนที่ทำให้เกิดการประท้วงครั้งล่าสุด มาจากการที่รัฐบาลภายใต้การนำของนาย ฟร็องซัว บายรู มีความคิดที่จะออกนโยบายตัดลดงบประมาณรายจ่ายของรัฐกว่า 44,000 ล้านยูโร ซึ่งกระทบต่อสวัสดิการของประชาชน เช่น การระงับอัตราขึ้นเงินบำนาญ ลดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ภาครัฐ และยกเลิกวันหยุดราชการ 2 วัน

 

ผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะชนชั้นกลางและชนชั้นแรงงาน มองว่านโยบายเหล่านี้ไม่เป็นธรรม เนื่องจากเป็นการผลักภาระให้ประชาชนทั่วไป แทนที่รัฐบาลจะเลือกเพิ่มการจัดเก็บภาษีจากคนรวยและบริษัทขนาดใหญ่แทน มิหนำซ้ำ ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ยังให้คำมั่นว่าจะเพิ่มงบประมาณกลาโหมไปถึง 6.5 พันล้านยูโร ในสองปี เพื่อตอบสนองต่อคำเรียกร้องของทรัมป์

 

ผศ.ดร.จันจิรา สมบัติพูนศิริ อาจารย์ประจำสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักวิจัยประจำ German Institute for Global and Area Studies ฉายภาพให้เห็นถึงจุดร่วมของเหตุประท้วงว่า เบื้องลึกของความไม่พอใจของผู้คนนั้นมาจาก “ชนชั้นนำและนักการเมืองที่ไม่เห็นหัวประชาชน”

 

ในอินโดนีเซียจะเห็นได้ชัดจาก ข้อถกเถียงเรื่องเงินสนับสนุนที่พักอาศัยของนักการเมืองซึ่งสูงเกินมาตรฐาน เมื่อสังคมออกมาวิพากษ์วิจารณ์ นักการเมืองบางคนกลับพูดจาดูถูกประชาชนว่า “อย่าเอาค่าตอบแทนของตนไปเทียบกับสามัญชน” สิ่งเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำว่าช่องว่างระหว่างนักการเมืองกับประชาชนยิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ

 

กรณีของเนปาล แม้จะเริ่มต้นจากเรื่องที่ดูเหมือนเล็กน้อย นั่นคือการที่ลูกหลานนักการเมืองโพสต์ภาพชีวิตหรูหราลงในสื่อสังคมออนไลน์ แต่เนื่องจากประเทศยังเผชิญกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ โดยเนปาลยังได้งบ Development Aid จากองค์กรระหว่างประเทศที่เข้ามาช่วยเหลือในฐานะประเทศกำลังพัฒนา เมื่อคนรุ่นใหม่เห็นชนชั้นนำโพสต์รูปต้นคริสต์มาสล้อมรอบด้วยกล่องแบรนด์เนม ทั้งที่โครงสร้างสังคมเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ ภาพเหล่านี้จึงถูกมองว่าเป็นเหมือนการเหยียบหน้าประชาชน

 

สำหรับกรณีของฝรั่งเศส หากย้อนกลับไปจะพบเหตุการณ์ที่คล้ายกับในปัจจุบัน คือ การชุมนุมใหญ่ของกลุ่ม ‘เสื้อกั๊กเหลือง’ ในปี 2018 ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากนโยบายขึ้นราคาพลังงานที่ส่งผลโดยตรงต่อค่าครองชีพ แต่รัฐบาลไม่ได้ถามความเห็นประชาชนก่อน จึงก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างกว้างขวาง

 

“ปัจจุบัน เอ็มมานูเอล มาครงถูกมองว่าเป็นขวากลางในทางเศรษฐกิจ จากการที่เขาตัดงบประมาณของรัฐที่ใช้พยุงค่าครองชีพประชาชน ลดสิทธิและสวัสดิการ เช่น วันหยุดประจำปี โดยนโยบายจำนวนมากถูกมองว่า เอื้อประโยชน์ต่อนายทุน มากกว่าประชาชน นี่จึงเป็นสาเหตุให้คนฝรั่งเศสรู้สึกว่าผู้นำไม่ยึดโยงกับเสียงของพวกเขา” ผศ.ดร.จันจิรา กล่าว

 

กล่าวโดยสรุป ทั้งกรณีของอินโดนีเซีย เนปาลและฝรั่งเศส ต่างสะท้อนปัญหาพื้นฐานเดียวกันคือ การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ละเลยเสียงของประชาชน และไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความต้องการจากผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศ

 

สำหรับรายละเอียดเฉพาะ ผศ.ดร.จันจิรา ชี้ให้เห็นว่า เนปาลและอินโดนีเซีย เผชิญกับบริบทของชนชั้นนำที่คล้ายกัน คือ ระบบคณาธิปไตย หรือ ตระกูลการเมืองที่มักเรียกว่า “บ้านใหญ่” ซึ่งจะสืบทอดอำนาจกันภายในเครือข่าย มีการเอื้อพวกพ้องของตน และดึงคนสนิทให้เข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญในภาครัฐ โดยส่วนใหญ่จะตามมาด้วยการคอร์รัปชันในระดับสูง “เงินที่ควรจะนำไปพัฒนาประเทศ แต่หลายครั้งเข้ากระเป๋าของคนในเครือข่ายเหล่านี้ ทำให้ความมั่งคั่งของชนชั้นนำเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ” อาจารย์กล่าว

 

ในอินโดนีเซียจะเห็นได้จาก กรณีที่อดีตประธานาธิบดีโจโก วีโดโด ผลักดันยิบราน รากาบูมิง รากา ซึ่งเป็นลูกชายขึ้นมาเป็นรองประธานาธิบดีในวัย 36 ปี แม้ว่ากฎหมายจะกำหนดคุณสมบัติอายุขั้นต่ำไว้ที่ 40 ปี แต่ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งมีประธานคือลุงของยิบรานเอง ก็ได้ตีความให้เขามีสิทธิรับตำแหน่ง นอกจากนี้ยังมีกรณีที่รัฐบาลปัจจุบันได้แต่งตั้ง จากา บูดี อุตามา ทหารที่เคยถูกศาลตัดสินคดีลักพาตัวนักเคลื่อนไหว ให้ดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมศุลกากร-สรรพสามิต ซึ่งถือเป็นการสนับสนุนเครือข่ายตนเองในกองทัพให้เข้ามามีตำแหน่งราชการ ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับสายงานนั้นโดยตรง จนถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก

 

คล้ายกับในเนปาลซึ่งรัฐบาลถูกวิจารณ์บ่อยครั้งว่าส่งเสริมระบบเล่นพรรคเล่นพวก ด้วยการแต่งตั้งโดยอิงการเมืองและเครือญาติ มากกว่าความสามารถ เช่น เหตุการณ์แต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารกลาง ซึ่งมีความล่าช้าเกินกว่าบทบัญญัติของกฎหมายถึงเกือบ 44 วัน เพราะว่าผู้มีอำนาจทางการเมืองไม่สามารถตกลงกันได้ทันตามกรอบกฎหมาย ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลาง

 

ในกรณีฝรั่งเศส ประเด็นอาจต่างออกไปเล็กน้อย แต่หากเชื่อมโยงกับอีกสองกรณี ก็ยังคงสะท้อนรูปแบบเดียวกันคือการตัดสินใจทางการเมืองที่ไม่ได้มีประชาชนเป็นที่ตั้ง

 

รัฐบริหารเศรษฐกิจล้มเหลว – ปัญหาปากท้องทวีความรุนแรง

 

ความล้มเหลวของรัฐในการบริหารเศรษฐกิจและปัญหาปากท้อง เป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนหลักที่ทำให้ความไม่พอใจของประชาชนทวีความรุนแรงขึ้น

 

ในอินโดนีเซีย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่า เศรษฐกิจยังห่างไกลจากเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ โดยเติบโตเพียง 5% ต่อปี ต่ำกว่าเป้าหมาย 8% อย่างมาก อีกทั้งงบประมาณที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจยังเสี่ยงซ้ำเติมให้เกิดการขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นจาก -2.2% ของ GDP ในปี 2024 ขณะที่การส่งออกไปจีนซึ่งกินสัดส่วนถึง 24% ของการค้าต่างประเทศ ยังคงมีแนวโน้มชะลอตัว

 

เนปาลเผชิญปัญหาเศรษฐกิจที่เปราะบางไม่แพ้กัน โดยอัตราการว่างงานในปี 2024 สูงถึง 12.6% และหากดูเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ตัวเลขพุ่งขึ้นถึง 20.8% นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่น่าตกใจของธนาคารโลกระบุว่า เศรษฐกิจเนปาลนั้นพึ่งพาแรงงานในต่างประเทศอย่างหนัก เงินโอนที่ส่งกลับมายังประเทศ คิดเป็นถึง 33.1% หรือ 1 ใน 3 ของ GDP และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ฝรั่งเศสเอง ก็กำลังเผชิญวิกฤตหนี้ครั้งใหญ่ โดยเมื่อต้นปี 2025 หนี้สาธารณะพุ่งแตะ 3.345 ล้านล้านยูโร หรือราว 114% ของ GDP และการใช้จ่ายของภาครัฐได้ขาดดุลมาอย่างยาวนาน จนเสี่ยงต่อการเกิดวิกฤตการคลังในอนาคต

 

ผศ.ดร.จันจิรา อธิบายเพิ่มเติมถึงบริบททางเศรษฐกิจว่า ประเทศต่างๆ ล้วนเจอกับภาวะ “การหดตัวของชนชั้นกลาง” ซึ่งถือเป็นความท้าทายของเศรษฐกิจโลก “ปัจจุบันคนรวยยิ่งรวยขึ้น ขณะที่ชนชั้นกลางกลับค่อยๆ ถูกบีบให้กลายเป็นคนจน หรือมีรายได้และความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่ลดลง”

 

สาเหตุหนึ่งมาจากโครงสร้างเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนไป จากระบบที่เคยมีการลงทุนด้านอุตสาหกรรมและโรงงาน ซึ่งช่วยสร้างงานให้กับชนชั้นกลาง ได้เปลี่ยนมาสู่ยุคที่เทคโนโลยีส่งผลกระทบ เช่น การนำ AI เข้ามาแทนแรงงาน ทำให้ตำแหน่งงานที่เคยเป็น “white-collar jobs” เช่น เสมียน พนักงานธนาคาร งานสำนักงานทนายความ รวมถึงงานในสายจัดการของโรงงาน ถูกแทนที่หรือลดจำนวนลงอย่างมาก ผลที่ตามมาคือชนชั้นกลางจำนวนมากจึงประสบกับภาวะ “เงินไม่พอ”

 

บทบาทของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจมากที่สุด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดแรงงาน ด้วยความที่คนเหล่านี้ยังไม่มีประสบการณ์ จึงหางานยากขึ้นไปอีก ขณะนี้ตำแหน่งงานเริ่มต้นจำนวนมากหายไป ทำให้อัตราการว่างงานของคนรุ่นใหม่สูงมาก แม้แต่ผู้ที่จบด้านซอฟต์แวร์หรือคอมพิวเตอร์ก็ยังตกงาน จึงอาจอธิบายได้ว่าทำไมการชุมนุมในแต่ละประเทศจึงมีคนรุ่นใหม่อยู่ค่อนข้างเยอะ

 

“สถานการณ์เศรษฐกิจทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกหมดหวัง เมื่อมองเห็นเพื่อนๆ ที่ไม่มีเส้นสายทางการเมืองหรือไม่ได้อยู่ในเครือญาติผู้มีอำนาจ ต่างประสบปัญหาการหางาน แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็เห็นภาพชีวิตหรูหราของชนชั้นนำและลูกหลานที่โพสต์บนโซเชียล ความเหลื่อมล้ำนี้จึงยิ่งชัดเจน และทำให้ช่องว่างระหว่างประชาชนกับชนชั้นนำห่างออกไปเรื่อย ๆ” ผศ.ดร.จันจิรา กล่าว

 

ปัจจัยทางการเมืองของแต่ละประเทศ

 

สำหรับอินโดนีเซีย สถานการณ์ประชาธิปไตยในประเทศกำลังถดถอยลงอย่างมาก นับตั้งแต่ปราโบโว ซูเบียนโต นายพลผู้เคยมีส่วนร่วมในการปราบปรามผู้ชุมนุมขับไล่ระบอบเผด็จการทหาร ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีในปี 2024 และเกิดเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับการใช้กฎหมายเอื้อพวกพ้องและการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คนอินโดนีเซียจำนวนมากรู้สึกไม่พอใจกับรัฐบาลชุดนี้

 

รัฐบาลปราโบโวเคยถูกวิจารณ์อย่างหนัก หลังจากแก้ไขกฎหมายกองกำลังแห่งชาติอินโดนีเซีย (Indonesian National Armed Forces) ในเดือนมีนาคมปี 2025 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ทหารสามารถเข้าไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองของพลเรือนเพิ่มขึ้นได้ เป็น 14 แห่ง จากเดิม 10 แห่ง และยังเพิ่มอายุเกษียณสำหรับนายพลยศสูง ให้สามารถอยู่ในตำแหน่งได้ถึงอายุ 63 ปี จากเดิม 60 ปี หลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นความพยายามฟื้นฟูระบบทวิหน้าที่ของทหาร (dual function) ตั้งแต่สมัยของซูฮาร์โต จึงเริ่มมีการชุมนุมของผู้รักประชาธิปไตยตั้งแต่ช่วงดังกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.อรอนงค์ ทิพย์พิมล อาจารย์ประจำสาขาประวัติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ อธิบายถึงสถานการณ์ในอินโดนีเซียเพิ่มเติมว่า การประท้วงในอินโดนีเซียถือเป็นเรื่องปกติในสังคม ผู้คนมักออกมาแสดงออกหรือแสดงความคิดเห็นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเล็ก ๆ เช่น การขึ้นราคาน้ำมันก็เพียงพอที่จะทำให้มีการรวมตัวกันประท้วง แต่เหตุการณ์ที่บานปลายจนถึงขั้นใช้ความรุนแรง เผาสถานที่ หรือทำลายข้าวของ ไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้ง เหตุการณ์เมื่อเดือนที่ผ่านมาจึงนับว่าเป็นครั้งที่รุนแรงเป็นพิเศษ

 

จุดเปลี่ยนที่ทำให้การประท้วงลุกลามขึ้น คือ การใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐต่อผู้ชุมนุม ทั้งแก๊สน้ำตา กระสุนยาง และรถหุ้มเกราะ จนมีผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นแรงงานรายได้น้อย ประชาชนต่างมองว่าเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมเกินขอบเขต เนื่องจากเขาถูกรถตำรวจทับแล้วเสียชีวิต เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” จุดประกายความโกรธแค้นของสังคม จนนำไปสู่การประท้วงที่ลุกลามไปกว่า 30 เมืองทั่วประเทศ

 

ในด้านของเนปาล หลังจากยกเลิกระบอบกษัตริย์ การเมืองเรียกได้ว่ามีภาวะล้มลุกคลุกคลานอย่างมาก เพราะไม่มีรัฐบาลใดเลยที่อยู่ครบวาระ 5 ปี มีการเปลี่ยนตัวผู้นำอยู่ตลอด รวมเวลากว่า 17 ปีในยุคสาธารณรัฐ เนปาลมีรัฐบาลมาแล้วถึงกว่า 13 ชุด  

 

ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ประชาชนมองว่านโยบายขาดความต่อเนื่อง ประกอบกับปัญหาคอร์รัปชัน บริการสาธารณะที่ย่ำแย่ และราคาสินค้าที่แพงขึ้น ผู้คนจำนวนมากจึงรู้สึกว่านักการเมืองต่างมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน มากกว่าประโยชน์สาธารณะ กรณีที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือ คดีทุจริตการจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส A330 ของสายการบิน Nepal Airlines ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับรัฐรวมทั้งสิ้นกว่า 1.47 พันล้านรูปี โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงและรัฐมนตรีตกเป็นจำเลย

 

กลุ่มกษัตริย์นิยมเคยใช้ช่องว่างของความไม่พอใจนี้ ผลักดันข้อเรียกร้องให้ฟื้นฟูบทบาทสถาบันกษัตริย์ในการชุมนุมเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2025 หลังการเสด็จกลับประเทศของอดีตกษัตริย์ชญาเนนทระ โดยมีการเสนอให้กลับไปใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 1990 เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าระบอบสาธารณรัฐเป็นต้นเหตุของความตกต่ำทั้งหมดในประเทศ

 

การชุมนุมครั้งล่าสุดเมื่อต้นเดือนกันยายน ในทางหนึ่งจึงมีทั้งคนรุ่นใหม่ซึ่งสะสมความไม่พอใจต่อรัฐบาล และผู้ที่มีแนวคิดกษัตริย์นิยม 

 

ผศ.ดร.จันจิรา อธิบายเพิ่มเติมถึงสถานการณ์ทางการเมืองเนปาลว่า สิ่งที่ทำให้การชุมนุมบานปลายจนรุนแรง ไม่ได้เกิดจากข้อเรียกร้องเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะการปราบปรามของรัฐเช่นกัน เมื่อมีการสลายการชุมนุมและถึงขั้นสังหารผู้ประท้วงที่เป็นเยาวชน ทำให้ความโกรธสะสมของประชาชนปะทุขึ้นอย่างหนัก เหมือนกับเหตุการณ์ในบังกลาเทศเมื่อปี 2024 ซึ่ง “ฟางเส้นสุดท้าย” ซึ่งนำไปสู่การโค่นล้มรัฐบาลที่ครองอำนาจมากว่า 10 ปี ก็คือการที่ตำรวจยิงผู้ชุมนุมเยาวชนเสียชีวิตเช่นกัน

 

สำหรับฝรั่งเศส ก็ได้มีการเปลี่ยนตัวผู้นำบ่อยไม่ต่างกับเนปาล ซึ่งตอนนี้มีนายกรัฐมนตรีทั้งหมด 5 คนแล้ว ในเวลาเพียง 2 ปีครึ่ง 

 

ต้นตอความไร้เสถียรภาพเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์ยุบสภาในปี 2024 ซึ่งผลการเลือกตั้งได้แบ่งรัฐสภาออกเป็นสามขั้ว ไม่ว่าจะเป็น ซ้าย กลาง และขวาจัด โดยไร้เสียงข้างมากเด็ดขาด ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีทุกคนเสี่ยงถูกโค่นในการลงมติได้เสมอ นี่คือชะตากรรมซึ่งผู้นำคนล่าสุด เซบาสเตียน เลอกอร์นู ต้องเผชิญในการผ่านงบประมาณในรัฐสภาที่แบ่งขั้ว โดยเหตุการณ์การประท้วงครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่เขารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

 

หากมองในภาพใหญ่ การประท้วง “Block Everything” เกิดมาจากการที่ประธานาธิบดีมาครงได้สะสมความไม่พอใจของประชาชนชาวฝรั่งเศสอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีที่เขาแต่งตั้ง มักได้รับเสียงต่อต้านจากสังคมเสมอ ประกอบกับนโยบายเศรษฐกิจที่ขาดการยอมรับจากประชาชน ในบริบทที่หนี้สาธารณะท่วมหัว โดยผู้ประท้วงจำนวนมากได้มองว่านายกคนล่าสุดซึ่งเป็นคนใกล้ชิดมาครง จะมีแนวทางการบริหารแบบเดิม และไม่มีอะไรที่เปลี่ยน

 

ถอดบทเรียนให้กับประเทศไทย

 

เมื่อถูกถามถึง บทเรียนจากการประท้วงในหลายประเทศที่อาจสะท้อนมายังไทย ผศ.ดร.จันจิรากล่าวว่า บทเรียนสำคัญที่สุดคือ อย่ามองข้ามประชาชนบ่อยเกินไป “อันที่จริงคนไทยโดยทั่วไปมีความอดทนอดกลั้นต่อความไม่เป็นธรรมที่ค่อนข้างสูง แต่หากเมื่อใดที่รู้สึกว่าถูกมองข้ามศักดิ์ศรีหรือถูกมองข้ามหัว การชุมนุมก็สามารถปะทุขึ้นได้” เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในการชุมนุมของเยาวชนปี 2563 ซึ่งมีสาเหตุจากระบอบการเมืองแบบอำนาจนิยมที่กดทับไม่ให้ประชาชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจและความคับข้องใจ

 

ในทัศนะของอาจารย์ ความท้าทายสำคัญของประเทศไทยคือ  “ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาปากท้อง” ที่ถูกผสมเข้ากับ “วิกฤตศรัทธาทางการเมือง” โดยประชาชนไม่ได้เดือดร้อนแค่ในเรื่องปากท้อง แต่ยังรู้สึกว่าระบบการเมืองไม่สามารถตอบโจทย์หรือรับผิดชอบต่อพวกเขาได้ ซึ่งระบอบการเมืองของไทยเองก็กำลังเผชิญกับวิกฤตความชอบธรรมอย่างมากที่ยังไม่สามารถหาทางออกได้

 

ผศ.ดร.จันจิราอธิบายเพิ่มว่า บริบทในประเทศไทยขณะนี้มีหนี้ครัวเรือนสูง อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น และยังเต็มไปด้วยการจ้างงานที่ไม่เต็มที่ (Underemployment) หลายคนทำงานแบบสัญญาชั่วคราวหรือเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบ Gig Economy ขณะที่อีกจำนวนมากอยู่ใน เศรษฐกิจนอกระบบ (Informal Economy) ซึ่งไม่มีทั้งเงินเดือนประจำและสวัสดิการรองรับ เมื่อปัญหาปากท้องเช่นนี้ ถูกผสมเข้ากับวิกฤตทางการเมืองจึงอาจกลายเป็น “ระเบิดเวลา” ที่อันตรายต่อเสถียรภาพของประเทศ

 

หากมีสถานการณ์ที่เป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” เช่น การล็อกดาวน์ซ้ำเพราะโรคระบาด หรือเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างการสังหารคนหาเช้ากินค่ำที่ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของประชาชน โดยน้ำมือจากอำนาจรัฐ การสูญเสียดังกล่าวอาจกลายเป็นชนวนที่ทำให้ความไม่พอใจปะทุรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.จันจิรา ยังคงมองว่าสังคมไทยมีความอดทนต่อความไม่เป็นธรรมสูงมาก จึงอาจต้องเผชิญวิกฤตร้ายแรงจริงๆ จึงจะนำไปสู่การประท้วงที่ลุกลามอย่างรวดเร็วแบบที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ

 

ผศ.ดร.อรอนงค์ อธิบายในส่วนของประเทศอินโดนีเซียว่า สถานการณ์ในไทยมีความคล้ายคลึงกับอินโดนีเซียในหลายมิติ โดยเฉพาะปัญหาคอร์รัปชัน หลักนิติธรรมที่อ่อนแอ และการใช้กระบวนการยุติธรรมในลักษณะที่สังคมตั้งคำถาม

 

อย่างไรก็ตาม จุดต่างสำคัญคือ อินโดนีเซียเคยผ่านการปฏิรูปการเมืองมาแล้วตั้งแต่ปี 1998–1999 ทั้งการแก้ไขกฎหมายเลือกตั้ง กฎหมายพรรคการเมือง รัฐธรรมนูญ และการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ทำให้พวกเขาเคยได้รับการยอมรับจากนานาชาติในฐานะประเทศที่พัฒนาประชาธิปไตยไปข้างหน้า แม้ปัจจุบันจะเผชิญภาวะถดถอย แต่ก็ยังมีร่องรอยของการปฏิรูปให้เห็น

 

ตรงกันข้าม ประเทศไทยยังไม่เคยมีการปฏิรูปทางการเมืองอย่างแท้จริง เราตกอยู่ในวงจรซ้ำซาก รัฐประหาร การเลือกตั้ง แล้วก็หวนกลับเข้าสู่ปัญหาเดิม โดยไม่เคยก้าวข้ามไปสู่การปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่ยั่งยืน

 

เมื่อถูกถามถึงข้อเสนอแนะสำหรับประเทศไทย ผศ.ดร.จันจิรา มองว่า ปัญหาสำคัญที่สุดคือ ช่องว่างระหว่างชนชั้นนำกับประชาชนที่ห่างกันมานาน ชนชั้นนำมักทำอะไรก็ได้โดยที่ไม่สนใจประชาชนหรือผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งเป็นท่าทีที่ปรากฏมาโดยตลอด

 

“หากต้องการป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตในอนาคต ควรเริ่มจากการสร้างสัญญาณที่จริงใจให้ประชาชนเห็นว่าระบบการเมืองยังคงมีความชอบธรรมอยู่บ้าง เช่น หากประกาศว่าจะมีการยุบสภาภายใน 4 เดือน ก็ควรจัดให้มีจริง ไม่ใช่เลื่อนหรือเปลี่ยนไปตามอำเภอใจ นอกจากนี้ ผู้มีอำนาจควรแสดงออกถึงความเห็นใจต่อคนหาเช้ากินค่ำและผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ไม่ใช่เพิกเฉยหรือมองข้าม”

 

สำหรับในด้านเศรษฐกิจ ผศ.ดร.จันจิรา ระบุว่า ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยนั้นฝังรากลึกมานาน และปัจจุบันเลวร้ายลงกว่าเดิม ทำให้การแก้ปัญหาเชิงนโยบายไม่สามารถทำได้เพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ต้องอาศัยการบูรณาการเชิงโครงสร้าง ซึ่งอาจต้องอาศัยความเชี่ยวชาญจากนักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสาธารณะ เพื่อออกแบบแนวทางที่เป็นระบบและรอบด้านมากกว่า

 

ทางด้านของ ผศ.ดร.อรอนงค์ มีข้อเสนอว่าประเทศไทยต้องมีการปฏิรูปทางการเมืองเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและคอร์รัปชันเป็นหลัก  ซึ่งต้องไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนตัวบุคคล แต่ต้องออกแบบระบบให้โปร่งใส ยุติธรรม และมีการกระจายอำนาจที่เป็นธรรมมากขึ้น

 

“การแสดงความคิดเห็นของประชาชนหรือการชุมนุมอย่างสันติควรถูกยอมรับและปกป้อง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีกติกาและกฎหมายที่ชัดเจนกำหนดขอบเขตว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ เพื่อให้การแสดงออกเป็นไปอย่างมีระเบียบและไม่ลุกลามเป็นความรุนแรง ซึ่งความรุนแรงโดยรัฐควรเป็นทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น และต้องปฏิบัติตามมาตรฐานนานาชาติที่ได้รับการยอมรับ” ผศ.ดร.อรอนงค์ กล่าว

 

ภาพ: Jerome Gilles / NurPhoto via Getty Images

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising