×

8 ข้อต้องทำ เตรียมพร้อมการเงิน ก่อนลาออกจากงาน

06.09.2025
  • LOADING...
การเงินก่อนลาออก

การลาออกจากงานมักจะทำให้ผู้คนเป็นกังวล ทั้งการหางาน การเผชิญกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ความไม่มั่นคงทางอารมณ์ของการว่างงาน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สถานะการเงินในช่วงตกงาน เพราะหากเงินทองไม่พอใช้ปัญหาทุกอย่างจะร้ายแรงขึ้นอีกหลายเท่าตัว

 

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลาออกควรวางแผนการเงินอย่างรอบคอบเพื่อการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่น การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินและความกังวลในอนาคตได้ และนี่คือ 8 สิ่งที่ควรทำก่อนยื่นใบลาออก

 

1. มีเงินสำรองฉุกเฉิน

 

เงินสำรองคือสิ่งที่สำคัญที่สุด การมีเงินเก็บสำรองอย่างน้อย 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายจำเป็นจะช่วยให้เรามีเวลาหายใจและมองหางานใหม่โดยไม่กดดันตัวเองมากเกินไป 

 

ลองคำนวณค่าใช้จ่ายรายเดือนของเราอย่างละเอียด ทั้งค่าเช่าบ้าน ค่าเดินทาง ค่าอาหาร รวมถึงหนี้สิน แล้วนำมาคูณด้วยจำนวนเดือนที่คาดว่าจะเป็นช่วงเวลาว่างงาน เพื่อให้รู้ว่าเราต้องมีเงินสำรองเท่าไหร่จึงจะเพียงพอ เช่น ถ้าเรามีค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อเดือนอยู่ที่ 15,000 บาท ก่อนลาออกเราก็ควรมีเงินก้อนสำรองไว้ 15,000×6 = 90,000 บาท 

 

2. ทำบัตรเครดิต/สินเชื่อ ให้เรียบร้อย

 

สถาบันการเงินจะพิจารณาประวัติการทำงานและความมั่นคงทางการเงินของลูกหนี้เป็นอันดับแรกก่อนอนุมัติสินเชื่อหรือบัตรเครดิต หากเรามีแผนจะขอสินเชื่อต่างๆ เช่น สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อรถยนต์ หรือแม้กระทั่งบัตรเครดิต ควรดำเนินการให้แล้วเสร็จในขณะที่ยังมีตำแหน่งงานที่มั่นคงอยู่ เพราะการไม่มีงานประจำอาจทำให้การอนุมัติเป็นไปได้ยากขึ้นมาก วงเงินของบัตรเครดิตก็อาจได้น้อยลง และอัตราดอกเบี้ยก็อาจจะแพงขึ้น

 

3. ใช้สิทธิประโยชน์จากบริษัท

 

อย่ามองข้ามสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่พึงมีในฐานะพนักงาน ลองตรวจสอบนโยบายของบริษัทว่ามีวันลาพักร้อนสะสมเหลืออยู่หรือไม่ หากมี ควรใช้ให้หมดก่อนลาออก เนื่องจากบางบริษัทอาจไม่มีนโยบายจ่ายเงินชดเชยวันลาที่เหลือให้

 

นอกจากนี้ ลองตรวจสอบสิทธิประโยชน์อื่นๆ เช่น คูปองส่วนลดสำหรับพนักงาน หรือส่วนลดสำหรับซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ซึ่งเราสามารถใช้สิทธิ์เหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ได้

 

4. สะสางหนี้สินที่ค้างอยู่

 

การลาออกในขณะที่มีหนี้สินจำนวนมากเป็นเรื่องที่น่ากังวล ควรพยายามชำระหนี้สินที่มีอยู่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนลาออก เพื่อช่วยลดภาระและความเสี่ยงทางการเงินในอนาคต หากทำได้ ลองเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ หรือขอชำระหนี้เป็นเงินก้อนใหญ่เพื่อลดภาระดอกเบี้ย สิ่งนี้จะช่วยให้เรามีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้นเมื่อไม่มีรายได้ประจำแล้ว

 

และอย่าลืมเตรียมแผนการเงินไว้สำหรับผ่อนชำระหนี้แต่ละงวดในช่วงที่ตกงานด้วย เพราะแม้เราจะหยุดทำงาน แต่ดอกเบี้ยวิ่งอยู่ตลอดเวลา หากมีเงินไม่เพียงพอชำระก็อาจเผชิญกับหนี้ที่มากขึ้นเพราะการผิดชำระ หรือจำใจต้องขายสินทรัพย์บางอย่างไป

 

5. วางแผนเรื่องประกันสุขภาพ

 

เมื่อพ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน เราจะหมดสิทธิ์การคุ้มครองจากประกันกลุ่มของบริษัทโดยอัตโนมัติ ดังนั้น จึงควรวางแผนเรื่องประกันสุขภาพส่วนตัวไว้ล่วงหน้า เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในการรักษาพยาบาล หากเรามีประวัติการรักษาหรือโรคร้ายแรงที่อาจต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ลองพิจารณาทำประกันสุขภาพส่วนตัวที่ครอบคลุมความเสี่ยงเหล่านี้ไว้ก่อนที่จะลาออก

 

หรือถ้าต้องการความคุ้มครองจากประกันสังคมต่อ พนักงานประจำที่เคยอยู่ในมาตรา 33 เมื่อลาออกจากงานประจำแล้วสามารถพิจารณาจ่ายเบี้ยประกันต่อเอง ในมาตรา 39 หรือ 40 ตามความเหมาะสมของตัวเองได้

 

มาตรา 39

 

  • สำหรับ: คนที่เคยทำงานในบริษัท (มาตรา 33) มาแล้ว 12 เดือน และต้องการสิทธิประโยชน์คล้ายเดิม เช่น รักษาพยาบาลและเงินบำนาญ
  • ข้อดี: สิทธิประโยชน์ครบถ้วนกว่ามาตรา 40 คุ้มครองทั้งเจ็บป่วย คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร และชราภาพ
  • ค่าใช้จ่าย: จ่ายเดือนละ 432 บาท

 

มาตรา 40

 

  • สำหรับ: อาชีพอิสระที่ไม่ได้เป็นพนักงานบริษัท
  • ข้อดี: ยืดหยุ่นกว่า เลือกได้ 3 ทางเลือกตามความคุ้มครองที่ต้องการ จ่ายเบี้ยน้อยกว่า
  • ค่าใช้จ่าย: เริ่มต้นที่ 70, 100 หรือ 300 บาทต่อเดือน

 

6. ตรวจสอบแผนเกษียณ

 

การลาออกจากงานอาจส่งผลกระทบต่อแผนเกษียณ โดยเฉพาะเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ควรศึกษาข้อมูลให้ดีว่า เรามีสิทธิ์ได้รับเงินส่วนนี้เมื่อไหร่และอย่างไร โดยจะมีทางเลือก 3 ทาง คือ

 

  1. คงเงินไว้ในกองทุน: เหมาะสำหรับผู้ที่คาดว่าจะหางานใหม่ในบริษัทที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพใกล้เคียงกัน จะได้ย้ายกองทุนได้สะดวก
  2. โอนเงินไป RMF: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินเพื่อการเกษียณและลดหย่อนภาษี
  3. ถอนเงินออกมา: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการนำเงินมาใช้จ่าย แต่การถอนเงินจะต้องเสียภาษี และอาจกระทบต่อแผนเกษียณในระยะยาว

 

รวมถึงแผนเกษียณอื่น ๆ ด้วย เช่น ถ้าใครมีการลงทุนในกองทุน RMF หรือ ประกันออมทรัพย์ ที่จำเป็นต้องจ่ายเบี้ยทุกปี ควรเตรียมเงินส่วนนี้ให้พร้อม เพื่อไม่ให้การชำระชะงักลงในช่วงที่ตกงาน แล้วกระทบกับแผนการลงทุนในระยะยาว

 

7. เตรียมรายได้เสริม

 

หากมีงานอดิเรกหรืองานเสริมที่สามารถสร้างรายได้ได้ ควรลองทำอย่างจริงจังก่อนลาออก เพื่อให้แน่ใจว่ามันสามารถเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงในอนาคตได้ การมีรายได้หลายทางจะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความอุ่นใจในช่วงเปลี่ยนผ่าน

 

ซึ่งถ้าเป็นไปได้ การหางานต่อไปไว้เรียบร้อยก่อนออกจากงาน ก็มักจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและง่ายกว่า สามารถลดความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายไปได้

 

8. เช็กสิทธิประโยชน์หลังลาออก

 

ก่อนลาออก ควรสอบถามฝ่ายทรัพยากรบุคคลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่เราจะได้รับหลังพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานอย่างละเอียด เช่น เงินชดเชยการว่างงานจากสำนักงานประกันสังคม เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานหากเราทำงานครบตามเงื่อนไข การทราบข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาสิทธิที่พึงได้รับไว้อย่างครบถ้วน

 

ซึ่งผู้ประกันตนในประกันสังคม มาตรา 33 สามารถขึ้นทะเบียนว่างงานกับกรมการจัดหางานภายใน 30 วัน นับจากวันที่ว่างงาน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือระหว่างการว่างงานไม่เกิน 90 วันต่อปี ในอัตรา 30% ของเงินเดือนเฉลี่ย เช่น ผู้ประกันตนได้รับเงินเดือนเฉลี่ย 15,000 บาท/เดือน ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือ 4,500 บาทต่อเดือน และจะขยายเวลาไปอีก 6 เดือน ใน 4 กรณี ได้แก่ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ คลอดบุตร และเสียชีวิต

 

การเตรียมตัวที่ดีจะทำให้การลาออกจากงานไม่ใช่เรื่องน่ากังวล การใช้เวลาพิจารณาและวางแผนอย่างรอบด้านจะช่วยให้เรามีความพร้อมสำหรับบทบาทใหม่ในชีวิตการทำงานได้อย่างมั่นคงและมั่นใจมากขึ้น

 

ภาพ: Denis Novikov/Getty Images 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising