×

เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม

07.08.2025
  • LOADING...

ภาษีมูลค่าเพิ่มกำลังกลายเป็นจุดสนใจท่ามกลางแรงกดดันจากมาตรการภาษีระหว่างประเทศ และทิศทางการจัดเก็บภาษีภายในประเทศที่เข้มข้นขึ้น โดยมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ ที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 กำลังสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจไทยที่ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ทั้งนี้ สามารถคาดการณ์ได้ว่า มาตรการภาษีดังกล่าวจะส่งผลต่อการลดลงของมูลค่าการส่งออก รวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ 

 

บทความนี้ผู้เขียนจะชวนสำรวจสถานการณ์ล่าสุด และสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยควรเร่งเตรียมรับมือกับทิศทางการจัดเก็บภาษีภายในประเทศนี้

 

ภาษีมูลค่าเพิ่มถูกจับตา: ถึงเวลาบริหารความเสี่ยงอย่างจริงจัง

 

นอกจากแรงกดดันภายนอกแล้ว หน่วยงานภาษีภายในประเทศก็ยังเผชิญความไม่แน่นอนด้านรายได้ภาษีจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง แม้ข้อมูลจากข่าวประชาสัมพันธ์ของกรมสรรพากรจะระบุว่า สามารถจัดเก็บภาษีในเดือนเมษายน 2568 ได้เกินเป้าประมาณ 7,700 ล้านบาท แต่การจัดเก็บตลอดทั้งปีนั้นอาจมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะภาษีนิติบุคคลของแต่ละบริษัทที่ยังไม่สามารถประมาณการได้ชัดเจน รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มจากการที่นักท่องเที่ยวจะลดลงและ/หรือจากการนำเข้าก็มีแนวโน้มจะติดลบเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจโลก 

 

เพื่อชดเชยภาษีที่อาจจะลดลง หน่วยงานภาษีจึงเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากธุรกรรมในประเทศ โดยกำหนดเป้าหมายในรูปของตัวชี้วัดเป็นอัตราร้อยละที่ชัดเจน ส่งผลให้เจ้าหน้าที่สรรพากรให้ความสำคัญกับการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินกระบวนการชำระภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้เสียภาษีในประเทศไทยอย่างใกล้ชิดและเข้มงวดยิ่งขึ้น 

 

ผู้ประกอบการจึงควรบริหารจัดการภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะกระบวนการจัดเก็บและนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มว่าถูกต้องตามหลักเกณฑ์หรือไม่ เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นประเภทภาษีที่มีเบี้ยปรับสูงถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับภาษีเงินได้นิติบุคคลที่มีเบี้ยปรับในกรณีทั่วไปเพียง 1 เท่า ความผิดในส่วนนี้อาจทำให้ต้นทุนของธุรกิจเพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญในกรณีที่ถูกตรวจสอบและเปรียบเทียบปรับโดยเจ้าหน้าที่สรรพากร

 

7 ข้อผิดพลาดด้านภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการควรระมัดระวัง 

 

การทำความเข้าใจกฎระเบียบด้านภาษีมูลค่าเพิ่มไม่เพียงลดความเสี่ยงของผู้ประกอบการที่เกิดจากการถูกตรวจสอบเท่านั้น แต่ยังช่วยหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดด้านภาษีมูลค่าเพิ่มที่พบบ่อยในประเทศไทย และลดความเสี่ยงของผู้ประกอบการที่เกิดจากการถูกตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่สรรพากร การทำความเข้าใจกฎระเบียบด้านภาษีมูลค่าเพิ่มจึงเป็นสิ่งสำคัญ ผู้เขียนขอกล่าวถึงข้อผิดพลาดเหล่านี้ซึ่งผู้ประกอบการควรตระหนัก เพื่อบริหารความเสี่ยงและลดภาระเบี้ยปรับและเงินเพิ่มที่อาจเกิดขึ้นหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที

 

1. ความล่าช้าในการใช้ใบเสร็จจากการยื่นแบบ ภ.พ.36

 

โดยทั่วไป ผู้ประกอบการสามารถขอเครดิตภาษีซื้อได้ภายใน 6 เดือนนับจากวันที่ในใบกำกับภาษี อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ใช้ใบเสร็จรับเงินจากการยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ.36 แทนใบกำกับภาษีซื้อ เจ้าหน้าที่สรรพากรมีแนวปฏิบัติให้ใช้สิทธิเครดิตภาษีซื้อภายในเดือนที่ออกใบเสร็จเท่านั้น เนื่องจากใบเสร็จนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ประกอบการโดยตรง การล่าช้าในการนำมาขอเครดิตภาษีอาจถูกตีความว่าไม่สมเหตุสมผล และนำไปสู่การถูกปฏิเสธสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้

 

2. ไม่จัดทำรายการกระทบยอดรายได้ระหว่างแบบ ภ.พ.30 และแบบ ภ.ง.ด.50

 

การไม่จัดทำรายการกระทบยอดรายได้ตามแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) และแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50) เป็นข้อผิดพลาดที่พบบ่อย แม้จะดูเป็นเอกสารมาตรฐานแต่หลายบริษัทกลับละเลย ทั้งที่เจ้าหน้าที่สรรพากรสามารถเรียกตรวจสอบได้ และหากพบความไม่สอดคล้องระหว่างรายได้ที่แจ้งในรายงานภาษี ภาษีมูลค่าเพิ่มและรายได้ทางบัญชี อาจนำไปสู่เบี้ยปรับและเงินเพิ่มนอกเหนือจากภาษีที่เสียขาด

 

3. การใช้ใบลดหนี้แทนการยกเลิกใบกำกับภาษี

 

ความผิดพลาดจากการใช้ใบลดหนี้เพื่อยกเลิกใบกำกับภาษีที่ออกผิด หากดำเนินการไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดปัญหาด้านเอกสาร ใบลดหนี้ที่ออกโดยไม่มีสิทธิออก อาจไม่สามารถนำมาลดยอดภาษีขายได้ และอาจนำไปสู่เบี้ยปรับจากการนำส่งภาษีขาดหรือจากการออกใบลดหนี้โดยไม่มีสิทธิออก แนวปฏิบัติที่ถูกต้องคือ บริษัทควรเรียกคืนใบกำกับภาษีที่ออกผิด และออกใหม่ให้ถูกต้องตามแนวทางของกรมสรรพากร

 

4. การขอคืนภาษีซื้อเกินจริง

 

ประเด็นสำคัญที่ผู้ประกอบการที่มีทั้งธุรกิจเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มควรให้ความสำคัญ คือ การแยกหรือเฉลี่ยภาษีซื้อที่เกิดจากรายจ่ายที่ใช้ร่วมกันให้เหมาะสม เพื่อป้องกันการขอคืนภาษีเกินจริงโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาระภาษีเพิ่มเติม รวมถึงเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม

 

5. การจัดเก็บเอกสารภาษีมูลค่าเพิ่มไม่เป็นระบบ

 

การจัดเก็บเอกสารสำคัญ เช่น ใบขนส่งสินค้า เอกสารนำเข้า – ส่งออก ใบกำกับภาษีซื้อ และเอกสารทางบัญชีอย่างไม่เป็นระบบ เป็นข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ การจัดเก็บเอกสารไม่ครบถ้วนหรือไม่เป็นระบบอาจทำให้ธุรกรรมที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมาคำนวณเป็นฐานภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ได้รับยกเว้นตามที่ควร ส่งผลให้มีภาษีชำระขาดรวมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม

 

6. การจดทะเบียน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ล่าช้า

 

ผู้ประกอบการบางรายมีรายได้เกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดให้ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่อาจดำเนินการล่าช้า ส่งผลให้ต้องเสียภาษีย้อนหลังพร้อมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม

 

7. รูปแบบใบกำกับภาษีไม่ถูกต้อง

 

รายละเอียดบนใบกำกับภาษี ใบลดหนี้ หรือใบเพิ่มหนี้ เช่น หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี เลขที่สาขา เหตุผลในการออกเอกสาร และการเรียงลำดับเอกสาร ควรถูกต้องครบถ้วน หากผิดพลาดอาจทำให้ไม่สามารถขอคืนภาษีซื้อ หรืออาจถูกประเมินว่าออกเอกสารภาษีมูลค่าเพิ่มไม่สมบูรณ์ ซึ่งอาจนำไปสู่ค่าปรับ เบี้ยปรับและเงินเพิ่มได้อีกด้วย

 

ผู้เขียนเห็นว่าการตระหนักถึงข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นเหล่านี้จะช่วยให้บริษัทสามารถปฏิบัติตามกฎหมายภาษีได้อย่างถูกต้อง และหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายทางภาษีที่อาจเกิดขึ้นจากการถูกประเมินโดยเจ้าหน้าที่สรรพากร

 

อีกทางเลือกหนึ่งคือการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี ซึ่งสามารถให้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน ช่วยวางแผนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นตัวแทนในการประสานงานกับกรมสรรพากร การดำเนินการเชิงรุกในลักษณะนี้ ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงด้านภาษีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ธุรกิจพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในอนาคตอันใกล้ได้

 

ภาพ: Nico De Pasquale Photography / Getty Images

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising