โลกกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคใหม่ของพลังงานอย่างรวดเร็ว
วิกฤตสภาพภูมิอากาศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ไฟป่าครั้งใหญ่ น้ำท่วมรุนแรงในหลายประเทศ ได้กลายเป็นแรงกดดันระดับโลกที่ผลักให้ทุกภาคส่วน “เร่งเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบพลังงานสะอาด” อย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่แค่เพราะเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังรวมถึงความมั่นคงทางพลังงาน และการปรับตัวต่อกฎเกมเศรษฐกิจใหม่ เช่น คาร์บอนเครดิต และภาษีคาร์บอน
ในกระแสนี้ พลังงานหมุนเวียนอย่างพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมนั้นถูกผลักดันอย่างจริงจังในหลายประเทศแต่เบื้องหลัง “อีกหนึ่งพลังงานสำคัญ” ที่กำลังค่อยๆ เติบโต และได้รับความสนใจมากขึ้นจากทั่วโลก คือ พลังงานไฮโดรเจน
ไฮโดรเจนกำลังขยับจากการเป็น “พลังงานสำรอง” ไปสู่การเป็น “รากฐาน” สำคัญของระบบพลังงานใหม่ทั่วโลก แล้วประเทศไทยพร้อมหรือยัง?
ทำความรู้จัก “พลังงานไฮโดรเจน”
ไฮโดรเจน (Hydrogen – H₂) อาจฟังดูเหมือนคำที่อยู่ในห้องทดลองมากกว่าเวทีนโยบายพลังงาน แต่ในความเป็นจริง พลังงานไฮโดรเจนกำลังกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศชั้นนำทั่วโลก ไม่ใช่แค่เพราะเป็นพลังงานสะอาด แต่เพราะมีความยืดหยุ่นสูง และสามารถเชื่อมโยงพลังงานหมุนเวียนเข้ากับระบบพลังงานที่เสถียรได้
ไฮโดรเจนไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่ปล่อย CO₂ เมื่อเผาไหม้ และมีค่าพลังงานต่อหน่วยมวลสูง
สิ่งที่ทำให้มันโดดเด่นคือความสามารถในการประยุกต์ใช้ในหลากหลายภาคส่วน ตั้งแต่โรงไฟฟ้า รถบรรทุก ไปจนถึงระบบสำรองไฟในพื้นที่ห่างไกล
การผลิตไฮโดรเจนมีหลายวิธี ซึ่งส่งผลต่อปริมาณการปล่อยคาร์บอน จึงมีการจัดประเภทตาม “สี” ดังนี้
- สีเทา
ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ (Steam Methane Reforming: SMR) โดยไม่มีการจัดการกับ CO₂ ที่เกิดขึ้น
- สีฟ้า
ผลิตจากกระบวนการเดียวกับสีเทา แต่มีเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บ CO₂ (Carbon Capture and Storage: CCS)
- สีเขียว
ผลิตโดยการแยกไฮโดรเจนจากน้ำด้วยไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์และลม โดยไม่ปล่อย CO₂ — ถือเป็นรูปแบบที่สะอาดที่สุด
ทำไมไฮโดรเจนถึงเป็นคำตอบของระบบพลังงานยุคใหม่
ไฮโดรเจนถูกนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมมานาน โดยเฉพาะโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี แต่ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในยุค Net Zero คือ โลกต้องการพลังงานที่ไม่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และสามารถทำหน้าที่เป็นแหล่งสำรองพลังงานจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์และลมได้ในระยะยาว ประเทศต่าง ๆ จึงเริ่มวางแผนพัฒนาไฮโดรเจนให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เช่น
- เยอรมนี เปิดตัวรถไฟพลังงานไฮโดรเจนที่วิ่งได้มากกว่า 1,000 กม. ต่อการเติมหนึ่งถัง
- ญี่ปุ่น มีการพัฒนารถบรรทุก Fuel Cell Electric Vehicle (FCEV) และทดลองใช้ไฮโดรเจนใน Data Center
- ฝรั่งเศส มีการใช้เรือและจักรยานพลังงานไฮโดรเจนในเชิงพาณิชย์
หลายประเทศมุ่งเป้าไปที่ “ไฮโดรเจนสีเขียว” เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างแท้จริง และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายภาคส่วน
- ภาคอุตสาหกรรม: ใช้แทนเชื้อเพลิงในโรงงานที่ต้องใช้ความร้อนสูง เช่น ซีเมนต์ เหล็ก ปิโตรเคมี
- ภาคพลังงาน: ใช้ผลิตไฟฟ้าโดยตรง หรือเก็บพลังงานส่วนเกินจากพลังงานแสงอาทิตย์/ลมไว้ใช้ช่วงที่ไม่มีแหล่งจ่าย
- ภาคขนส่ง: โดยเฉพาะรถขนส่งระยะไกล เช่น รถบรรทุก รถโดยสาร หรือเรือขนาดใหญ่
- ระบบสำรองไฟฟ้า: สำหรับพื้นที่ห่างไกล ระบบ Off-grid หรือโครงข่ายที่ต้องการพลังงานต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน
ไฮโดรเจนกำลังมีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพลังงานไทยในอนาคต แม้ประเทศไทยยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิลเป็นหลักทั้งในภาคการผลิตไฟฟ้าและการขนส่ง แต่ในระดับนโยบาย พลังงานสะอาดเริ่มถูกยกระดับให้เป็นยุทธศาสตร์สำคัญ โดยเฉพาะการเดินหน้าสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero ภายในปี 2065
ในพิมพ์เขียวพลังงานฉบับล่าสุด ไฮโดรเจนไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวคิดอนาคตอีกต่อไป แต่ถูกกำหนดให้เป็น “องค์ประกอบสำคัญ” ของการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศ
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้กำหนดแนวทางพัฒนาไฮโดรเจนไว้ใน 3 ระยะ ได้แก่
- ระยะสั้น (ค.ศ. 2025-2030)
เป็นการเตรียมความพร้อม เช่น โครงการนำร่อง กำหนดมาตรฐานความปลอดภัย วางแผนและศึกษาโมเดลธุรกิจใหม่ ทดสอบระบบจัดเก็บและขนส่งไฮโดรเจน
- ระยะกลาง (ค.ศ. 2031–2040)
ระยะในการพัฒนาเชิงพาณิชย์ของไฮโดรเจนในภาคพลังงาน รวมถึงการผสมไฮโดรเจน 5-10% ในระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้า การส่งเสริมการลงทุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าสีเขียวเพื่อรองรับไฮโดรเจนสีเขียวและการขยายสถานีไฮโดรเจน รวมถึงการติดตาม ประเมินผล และปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
- ระยะยาว (ค.ศ. 2041–2050)
เดินหน้าสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการผสมไฮโดรเจน 10-20% ในระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้า พัฒนากลไกการตรวจสอบ ประเมิน และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน แก้ไขภาษีคาร์บอนในโครงสร้างราคา สร้างแพลตฟอร์มและการซื้อขายคาร์บอน กำหนดมาตรฐานสำหรับรถ Fuel Cell Electric Vehicle (FCEV) และสถานีเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจน
นั่นหมายความว่า ภายใน 5 ปีข้างหน้า ไฮโดรเจนจะไม่ใช่เพียงแค่แนวคิดในห้องทดลองอีกต่อไป แต่จะเริ่มถูกนำมาใช้งานจริงในระบบพลังงานของประเทศไทย
การนำไฮโดรเจนเข้าสู่ระบบพลังงาน ไม่ใช่มีเป้าหมายเพียงเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเป้าหมายระดับชาติอื่น ๆ เช่น
- เสริมความมั่นคงด้านพลังงาน เพราะไฮโดรเจนสามารถผลิตได้ในประเทศ ลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
- ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG สนับสนุนการพัฒนา Supply chain พลังงานสะอาด ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตไฟฟ้า ไปจนถึงอุตสาหกรรมเคมี
- ส่งเสริมนวัตกรรมไทย เปิดโอกาสให้นักวิจัย สตาร์ทอัป และภาคการศึกษาร่วมพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงในระบบพลังงานแห่งอนาคต
เส้นทางของ กลุ่ม ปตท. สู่เศรษฐกิจไฮโดรเจน
ไม่เพียงแต่ความพยายามของภาครัฐเพียงเท่านั้น แต่ความพยายามของภาคเอกชนอย่าง กลุ่ม ปตท. ซึ่งมีพันธกิจในการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ควบคู่ไปกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างสมดุลก็กำลังขับเคลื่อนเรื่องไฮโดรเจนอย่างจริงจังโดยเริ่มวางรากฐานเพื่อพัฒนาไฮโดรเจนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
ปี 2562 กลุ่ม ปตท. เริ่มต้นจากการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ด้วยการจัดตั้ง Hydrogen Thailand Club ร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และความพร้อมด้านเทคโนโลยีไฮโดรเจน ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 80 องค์กรจากทั่วประเทศ
ปี 2565 ความร่วมมือดังกล่าวทำให้เกิดสถานีนำร่องแห่งแรกของไทย จากความร่วมมือระหว่าง OR TOYOTA และ BIG ในการ
- ติดตั้งสถานีเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนต้นแบบที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
- ทดลองวิ่งรถยนต์FCEV ยี่ห้อ TOYOTA รุ่น Mirai เพื่อทดสอบระบบจริง
ถัดมาในปี 2566 กลุ่ม ปตท. ก็ได้ก้าวสู่เวทีนานาชาติเต็มตัวจากชัยชนะของ ปตท.สผ. ในการประมูลพัฒนาโครงการ Green Hydrogen ที่ประเทศโอมาน นอกจากนี้ ปตท. ก็ได้ร่วมกับ RINA ศึกษาด้านเทคนิคในการผสมไฮโดรเจนในระบบก๊าซธรรมชาติ และสถาบันนวัตกรรม ปตท. ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อรองรับการวิจัยและการทดสอบเชิงเทคนิคด้านการใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงด้วย
ในปีที่แล้ว หรือปี 2567 เครือข่าย Hydrogen Thailand Club ถูกยกระดับให้เป็น สมาคมไฮโดรเจนแห่งประเทศไทย (Hydrogen Thailand Association) เพื่อทำหน้าที่กำหนดทิศทางและวางกรอบการพัฒนาอุตสาหกรรมไฮโดรเจนในระดับประเทศ
กลุ่ม ปตท. กับบทบาทผู้นำการสร้าง Ecosystem ไฮโดรเจนไทย
และปีนี้ คือปี 2568 กลุ่ม ปตท. ได้เชื่อมกลยุทธ์สู่ธุรกิจพลังงานคาร์บอนต่ำในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในกลุ่ม ปตท. เพื่อขับเคลื่อนการใช้เทคโนโลยีไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำในเชิงพาณิชย์ ภายใต้เป้าหมายสู่ Net Zero
สิ่งที่ทำให้การเคลื่อนตัวของ กลุ่ม ปตท. น่าสนใจ คือการ มองเกมระยะยาวและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานควบคู่กับการสนับสนุนจากภาครัฐทั้ง “ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ” วางโครงข่ายทั้งหมดนี้ไปพร้อม ๆ กัน จากผู้นำด้านพลังงาน เป็นผู้สร้างระบบนิเวศพลังงานใหม่
- เสนอให้ไฮโดรเจนและแอมโมเนียเป็นส่วนหนึ่งของ พ.ร.บ.น้ำมันเชื้อเพลิง
- ร่วมจัดทำมาตรฐานความปลอดภัยในการผลิตและจัดเก็บไฮโดรเจน
- ศึกษาผลกระทบเชิงเทคนิคของการผสมไฮโดรเจนในระบบก๊าซธรรมชาติ
- เตรียมประยุกต์ใช้ไฮโดรเจนในหน่วยงานภายในของ กลุ่ม ปตท. เพื่อสร้างต้นแบบเชิงพาณิชย์
ไฮโดรเจน = แต้มต่อเศรษฐกิจ + ความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ
แล้วเหตุผลอะไรที่ทำให้ไฮโดรเจนได้รับความสนใจในการต่อยอดสู่การเป็นแต้มต่อเศรษฐกิจ และยกระดับให้เป็นความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ?
1. ไฮโดรเจนเปิดตลาดอุตสาหกรรมใหม่ให้กับประเทศไทย
ประเทศไทยมีรากฐานอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะด้านปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ และการผลิตอาหาร การนำไฮโดรเจนเข้ามาเชื่อมกับอุตสาหกรรมเหล่านี้จะเปิดทางให้เกิด Supply chain ใหม่ ยกระดับเป็นผู้ผลิตเพื่อส่งออกในอนาคต เช่น
- การผลิตแอมโมเนียสีเขียว (Green Ammonia) ใช้ในปุ๋ย อุตสาหกรรม หรือเป็นเชื้อเพลิงเรือ
- การผลิตเมทานอลสะอาด (Green Methanol) ใช้ในพลาสติก เคมีภัณฑ์ และน้ำมันสังเคราะห์
- การผลิตเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) เปิดโอกาสให้ไทยเป็นฐานผลิตเทคโนโลยีพลังงานสะอาดเพื่อการส่งออก
2. สร้างความมั่นคงทางพลังงานรูปแบบใหม่
ทุกวันนี้ ประเทศไทยยังพึ่งพาการนำเข้าพลังงานฟอสซิลในปริมาณมหาศาล ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน
แต่ไฮโดรเจน โดยเฉพาะไฮโดรเจนสีเขียว สามารถผลิตได้ภายในประเทศ ด้วยพลังงานหมุนเวียนที่เรามีอยู่แล้วในประเทศ เช่น
- พลังงานแสงอาทิตย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- พลังงานลมในชายฝั่งภาคใต้
- ระบบไฟฟ้าทดแทนในภาคอุตสาหกรรม
พลังงานเหล่านี้สามารถป้อนเข้าสู่ระบบผลิตไฮโดรเจนได้โดยตรง และช่วย “ลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์” เพราะยิ่งผลิตเองได้มากเท่าไร ประเทศยิ่งมีอิสระและมีเสถียรภาพทางพลังงานมากขึ้น
3. ตอบโจทย์การสำรองพลังงานระยะยาวที่แบตเตอรี่ยังทำไม่ได้
ระบบแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) เหมาะสำหรับการกักเก็บไฟฟ้าในช่วงเวลาสั้น เช่น ชาร์จไฟในแบตเตอรี่ตอนกลางวันเพื่อใช้ตอนกลางคืน แต่หากต้องการกักเก็บพลังงานไว้ “ข้ามฤดู” หรือใช้ในพื้นที่ห่างไกลจากโครงข่ายไฟฟ้า (off-grid) ไฮโดรเจนคือคำตอบที่เหมาะสมกว่า
เนื่องจากไฮโดรเจนไม่มีการคายประจุแม้เก็บไว้เป็นเวลานาน จึงสามารถสำรองไฟได้นานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน เหมาะกับการใช้ในโรงพยาบาล Data Center ชุมชนห่างไกล หรือเกาะกลางทะเล
4. เตรียมพร้อมสู่ระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในเวทีโลก
นอกจากประโยชน์ภายในประเทศ โลกกำลังเดินหน้าวางกฎเกมใหม่ด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกลไก ภาษีคาร์บอนนำเข้า (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ของสหภาพยุโรป
หากประเทศไทยต้องการส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่บังคับใช้ CBAM การมีระบบพลังงานสะอาดอย่างไฮโดรเจนจะช่วยให้ภาคการผลิตสามารถแข่งขันได้ ทั้งช่วยลดต้นทุนคาร์บอน ได้เครดิต ESG ตอบโจทย์ลูกค้าระดับโลก
เส้นทางสู่เศรษฐกิจไฮโดรเจนของประเทศไทย
แม้ความเชื่อในด้านพลังงานอาจสั่นคลอนจากสถานการณ์โลกที่ผ่านมา แต่ความจำเป็นของการสร้างความมั่นคงทางพลังงานอย่างยั่งยืนยังคงเป็นเป้าหมายที่ไม่อาจเลี่ยง นั่นคือเหตุผลว่า ไฮโดรเจนจะเป็นเสาหลักพลังงานและเสาหลักเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้
เพื่อให้ไฮโดรเจนกลายเป็นเสาหลักใหม่ของพลังงานไทยได้จริง ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนา 4 สิ่งสำคัญ ได้แก่
1. “โครงสร้างรองรับ” ต้องสร้างโครงสร้างที่แข็งแรงพอจะรองรับการเปลี่ยนผ่านในระดับประเทศเริ่มต้นจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นสถานีเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ระบบจัดเก็บและขนส่งที่ปลอดภัย และการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าสีเขียวที่สามารถจ่ายพลังงานให้กระบวนการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การมีโครงการนำร่องที่จับต้องได้ จะช่วยให้สังคมไทยเห็นภาพการใช้งานไฮโดรเจนแบบครบวงจร และสร้างความเชื่อมั่นในระบบพลังงานใหม่นี้
2. “สร้างกลไกจูงใจ” เพื่อสนับสนุนการลงทุนและการเปลี่ยนผ่าน เช่น การลดหย่อนภาษีหรือจัดตั้งกองทุนสนับสนุนเพื่อช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุนในช่วงเปลี่ยนผ่าน รวมถึงการเปิดระบบคาร์บอนเครดิตในประเทศ เพื่อให้การใช้ไฮโดรเจนสามารถแปลงเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้จริง
3. “พัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรในห่วงโซ่อุปทาน” ตั้งแต่การวิจัย การออกแบบระบบ ไปจนถึงแรงงานด้านเทคนิค ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องการความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย สถาบันอาชีวศึกษา และภาคเอกชน เพื่อวางรากฐานให้ไทยสามารถก้าวสู่การเป็นทั้งผู้พัฒนาและผู้ใช้งานเทคโนโลยีไฮโดรเจนอย่างยั่งยืน
4. “การทำงานเชิงรุกร่วมกัน” ไฮโดรเจนจะไม่มีวันเป็นระบบพลังงานที่ใช้ได้จริง หากขาดการประสานของทุกภาคส่วน ภาครัฐต้องทำงานเชิงรุกกับภาคเอกชน ด้วยการตั้งกลไกร่วมวางแผน เชื่อมโยงผู้ผลิตกับผู้ใช้ และเปิดพื้นที่ทดสอบจริงทั้งในนิคมอุตสาหกรรมและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถทดลอง เรียนรู้และพัฒนาร่วมกัน จนเกิดเป็นระบบนิเวศไฮโดรเจนของไทยที่แข็งแรงและยั่งยืน
ไฮโดรเจนไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือรากฐานใหม่ของพลังงานไทย
ไฮโดรเจนไม่ใช่เพียงความหวัง แต่เป็นระบบพลังงานแห่งอนาคตที่ทั่วโลกและประเทศไทยกำลังให้ความสนใจ กลุ่ม ปตท. ได้เริ่มวางรากฐานทางด้านเทคโนโลยี, สร้างความร่วมมือ และพัฒนาธุรกิจเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานและเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจ การลงทุนในวันนี้จะเป็นประตูสู่โอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ, เทคโนโลยี และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก
ความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ให้ไฮโดรเจนกลายเป็นระบบพลังงานใหม่ที่เป็นจริงได้ในประเทศไทย ด้วยความมุ่งมั่นและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน จะนำไปสู่การสร้างประเทศไทยที่ยั่งยืนและมั่นคงทางพลังงานมากยิ่งขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: