ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2565-2567) การบริโภคภาคเอกชนภายในประเทศเติบโตชะลอตัว โดยในช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 การบริโภคภาคเอกชนไทยขยายตัวได้เพียง 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ต่ำกว่าการขยายตัวของ GDP ไทยที่ 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บ่งชี้ถึงกำลังซื้อของครัวเรือนภายในประเทศที่ยังคงอ่อนแอ หรือยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติ และเมื่อภาคเศรษฐกิจจริงไม่มีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการบริโภคขั้นสุดท้ายของครัวเรือน จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะซึม บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยไม่คึกคักเท่าที่ควร
รายงาน Wealth Insight ของทีม Wealth Research หลักทรัพย์บัวหลวง ระบุว่า ในส่วนของหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ถือเป็นแรงกดดันหลักต่อการบริโภคภาคเอกชนไทย แม้ในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด สัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยต่อ GDP จะลดลงต่อเนื่อง จากระดับ 91.3% ในไตรมาส 4 ปี 2566 สู่ระดับ 88.4% ในไตรมาส 4 ปี 2567 แต่กลับไม่ได้ทำให้การบริโภคภาคเอกชนโดยรวมเร่งตัวขึ้น นั่นเป็นเพราะธนาคารพาณิชย์ยังคงระมัดระวังและเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่ จากภาวะเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ขณะเดียวกันลูกหนี้ก็มีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น โดยมีข้อสังเกตจากกลุ่มลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special mention loan) ซึ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้ที่มียอดค้างชำระระหว่าง 1-3 เดือน ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและจำเป็นต้องเฝ้าระวังติดตามเป็นพิเศษ เพราะมีโอกาสตกชั้นเป็นหนี้เสีย หรือ NPLs สูง โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อรายย่อยอย่างสินเชื่อบ้าน สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อส่วนบุคคล
นอกเหนือจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงจะเป็นแรงกดดันการบริโภคภายในประเทศ หากวิเคราะห์เจาะลึกไปถึงกำลังซื้อของกลุ่มผู้บริโภคตามระดับรายได้จะเห็นได้ว่า ปัจจุบันมีสัญญาณหลายประการที่บ่งชี้ถึงกำลังซื้อที่อ่อนแรงลงในทุกกลุ่ม ดังนี้
- รายได้เกษตรกรเติบโตชะลอลง สาเหตุหลักมาจากปริมาณผลผลิตทางการเกษตรพืชผลสำคัญมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2567 ที่เจอภาวะภัยแล้ง เช่น ข้าว มะม่วง ทุเรียน เป็นต้น ปัจจุบันครัวเรือนเกษตรในไทยมีอยู่ราว 7.7 ล้านครัวเรือน คิดเป็นสัดส่วนราว 32.1% ของครัวเรือนไทยทั้งหมด (ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2568) หรือครอบคลุมจำนวนประชากรไทยราว 23 ล้านคน นับว่ายังคงเป็นเศรษฐกิจฐานรากสำคัญของไทย
- ยอดจำหน่ายสินค้าคงทนอย่างรถยนต์และรถจักรยานยนต์ยังไม่ฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติ โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 ยอดขายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์หดตัวมากถึง 15.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (รวมรถ SUV) และรถจักรยานยนต์ขยายตัวได้เล็กน้อยที่ 0.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 2.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ทำให้ยอดขายรถยนต์โดยรวมยังคงหดตัวราว 4.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคโดยรวมที่อ่อนแอ โดยเฉพาะในกลุ่มรายได้ระดับล่างถึงระดับกลาง อาทิ เกษตรกร พ่อค้าแม่ค้า รวมถึงกลุ่มเจ้าของกิจการขนาด Micro SMEs
- การปล่อยสินเชื่อบ้านใหม่เข้าสู่โซนหดตัว สินเชื่อบ้านในชั้นที่ถูกกล่าวถึงเป็นพิเศษยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยไตรมาส 1 ปี 2568 เพิ่มขึ้นราว 19.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับว่าเป็นการขยายตัวด้วยเลข 2 หลักเป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน สะท้อนถึงกำลังซื้อของกลุ่มรายได้ระดับกลางถึงบนที่อ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด
- กลุ่มธุรกิจเผชิญแรงกดดันสูง เมื่อกำลังซื้อของผู้บริโภคทุกกลุ่มส่งสัญญาณอ่อนแรงลง ย่อมส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องเผชิญกับแรงกดดันสูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่จำเป็นต้องพึ่งพิงกำลังซื้อภายในประเทศเป็นหลัก ส่งผลให้การฟื้นตัวของภาคธุรกิจอย่างทั่วถึงในระยะข้างหน้าจึงเป็นประเด็นที่ท้าทายอย่างมาก
ดัชนีรายได้เกษตรกร
ที่มา: OAE, CEIC, Bualuang Research
ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงการบริโภคภาคเอกชนเป็นรายสินค้าและบริการ จะพบว่า ท่ามกลางกำลังซื้อที่อ่อนแอ กลุ่มอาหารยังสามารถเติบโตได้ค่อนข้างคงที่ ขณะที่กลุ่มอื่นๆ มีแนวโน้มเติบโตชะลอลง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ สินค้าอุปโภคอย่างเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม ของตกแต่งภายในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงการบริการร้านอาหารและโรงแรม เป็นต้น
และหากพิจารณาถึงข้อมูลการบริโภคภาคเอกชนเป็นรายสินค้า ร่วมกับการพิจารณาข้อมูลด้านการผลิตและการนำเข้า จะพบว่าผู้ผลิตไทยในสินค้าบางกลุ่มกำลังเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาอย่างเข้มข้นจากสินค้านำเข้าราคาถูกจากจีนที่เข้ามาตีตลาดในไทย อาทิ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า ของตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงของใช้เบ็ดเตล็ด สะท้อนจากข้อมูลการขยายตัวของการบริโภคภายในประเทศของกลุ่มสินค้าดังกล่าวไม่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับภาคการผลิต ในขณะเดียวกัน มูลค่าการนำเข้าสินค้าในกลุ่มดังกล่าวจากจีนกลับขยายตัวได้ค่อนข้างสูงอย่างมีนัยสำคัญ
นั่นหมายความว่า ผู้ผลิตคนไทย โดยเฉพาะ SMEs ที่มีข้อจำกัดด้านเงินทุน อาจเผชิญกับแรงกดดันในการแย่งชิงกำลังซื้อที่เติบโตได้อย่างจำกัดและมีทิศทางชะลอตัวกับกลุ่มทุนจีนที่มีความได้เปรียบทางด้านต้นทุนจากการผลิตที่ล้นตลาด (Over supply) ส่งผลให้ภาคธุรกิจ SMEs ไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวไม่ฟื้นตัวและมีแนวโน้มต้องปิดกิจการมากขึ้น และย่อมจะสะท้อนกลับมาสู่การจ้างงานที่ลดลง อันเป็นรากฐานสำคัญต่อการสร้างรายได้เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ
สรุป หากการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มอ่อนแรงลง โดยเฉพาะในบริบทที่ภาคครัวเรือนมีภาระหนี้สูง ซึ่งกระทบต่อรายได้คงเหลือ รวมไปถึงในบริบทของภาพเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะชะลอตัว ก็จะยิ่งบั่นทอนศักยภาพการใช้จ่ายของผู้บริโภคในระดับฐานราก ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งพึ่งพาตลาดในประเทศเป็นหลัก และท้ายที่สุดอาจเป็นแรงกดดันต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ
ภาพ: Shutterstock AI Generator