หลายคนมองข้าม ‘ประกันภัยส่วนบุคคล’ ทั้งที่จริงแล้วเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงทางการเงินของครอบครัว เพราะชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ การเจ็บป่วย หรือการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร การมีประกันจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยปกป้องรายได้ ทรัพย์สิน และอนาคตของครอบครัว แม้หลายคนจะมองว่าการทำประกันเป็นภาระที่ไม่จำเป็นในช่วงที่ยังมีสุขภาพแข็งแรงหรือไม่มีภาระผูกพันใดๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การวางแผนไว้ล่วงหน้ากลับเป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบและการใส่ใจในอนาคตของตนเองและคนที่เรารักอย่างแท้จริง
ลองทำความเข้าใจแบบง่ายๆ ก่อนว่า ประกันภัยส่วนบุคคลคืออะไร?
ถ้าแปลแบบตรงๆ ตัวเลย ประกันภัยส่วนบุคคล (Personal Insurance) ก็คือ ประกันที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของบุคคล เช่น
- ประกันชีวิต ให้เงินชดเชยแก่ผู้รับผลประโยชน์เมื่อเราเสียชีวิต
- ประกันสุขภาพ คุ้มครองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล เพราะการเจ็บป่วยและการเสื่อมสภาพของสังขารเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตของทุกคน
- ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล คุ้มครองกรณีบาดเจ็บ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
- ประกันโรคร้ายแรง จ่ายเงินก้อนเมื่อพบโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง หัวใจวาย
- ประกันความรับผิดต่อบุคคลภายนอก คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากความประมาทของเรา
ทำไมประกันภัยจึงเป็นรากฐานของแผนการเงิน
หลายคนอาจมองว่า ประกันเป็น ‘ค่าใช้จ่าย’ เพราะคิดว่าไม่น่าจะได้ใช้ แต่ในความจริงเราไม่มีทางรู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น ในมุมของนักวางแผนการเงิน การประกันภัยคือ ‘เครื่องมือบริหารความเสี่ยง’ ที่ขาดไม่ได้ในแผนการเงินที่ยั่งยืน การเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบทางการเงินที่อาจเกิดขึ้น
ประกันจึงเปรียบเสมือน ‘กันชนทางการเงิน’ ที่ช่วยปกป้องจากเหตุไม่คาดฝัน เพราะชีวิตคนเรามีความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วย อุบัติเหตุ หรือเสียชีวิตก่อนวัยอันควร สิ่งเหล่านี้สามารถทำลายแผนการเงินที่วางเอาไว้ได้ในพริบตา บางครั้งแค่เหตุการณ์เพียงครั้งเดียว อาจทำให้เงินออมที่คนคนหนึ่งเก็บสะสมมาตลอดชีวิตหมดลงได้
ดังนั้น การมีประกันจึงช่วยรักษาเงินทุนสำหรับเป้าหมายสำคัญในชีวิต เช่น การเกษียณ การศึกษาบุตร หรือการส่งต่อทรัพย์สินให้ครอบครัว อีกหนึ่งประเด็นที่ไม่ควรมองข้าม คือ ‘ความสามารถในการหาเงิน’ เป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดของเรา หากวันหนึ่งเราป่วยจนทำงานไม่ได้ ประกันจะเข้ามาช่วยทดแทนรายได้ที่หายไป ให้เรายังมีเงินใช้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
ความเสี่ยงของการมีประกันไม่เพียงพอ
ปัญหาหนึ่งที่พบได้บ่อยคือ การมีความคุ้มครองที่ไม่เพียงพอ (Underinsured) เช่น การพึ่งพาแต่สวัสดิการบริษัท ซึ่งความคุ้มครองมักมีวงเงินไม่สูง และจะสิ้นสุดทันทีเมื่อออกจากงาน หรือกรณีที่ซื้อประกันวงเงินต่ำเกินไป เช่น หญิงสาวอายุ 35 ปี มีรายได้ปีละ 1 ล้านบาท แต่มีประกันชีวิตเพียง 2 แสนบาท หากเสียชีวิต แทบไม่พอแม้แต่ค่าจัดงานศพ ยังไม่รวมถึงรายจ่ายในครอบครัวหรือภาระหนี้สินที่มีอยู่
นอกจากนี้ ความคุ้มครองที่ไม่เพียงพอยังอาจทำให้ครอบครัวต้องเผชิญกับความลำบากทางการเงินในช่วงเวลาที่ยากที่สุด เช่น ต้องขายทรัพย์สิน ใช้เงินเก็บฉุกเฉิน หรือกู้หนี้เพื่อดำรงชีวิต หากผู้เสียชีวิตเป็นเสาหลักของครอบครัว ภาระทั้งหมดอาจตกไปอยู่กับคู่สมรสหรือญาติพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งอาจกระทบต่อคุณภาพชีวิตและอนาคตของสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะลูกหลานที่ยังอยู่ในวัยเรียน
เมื่อเข้าใจแล้วว่าความไม่แน่นอนของชีวิตสามารถส่งผลกระทบทางการเงินได้มากเพียงใด ขั้นตอนถัดไปคือการวางแผนและเลือกประกันให้เหมาะกับตัวคุณ อ่านต่อได้ในบทความถัดไป
ภาพ: Andrey_Popov / Shutterstock