เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของยูเครนเปิดเผยว่า รัสเซียยิงขีปนาวุธโจมตีเมืองซูมี ทางตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 24 คน รวมถึงเด็ก 1 คน และบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 84 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีเด็ก 7 คน เหตุเกิดขึ้นในช่วงที่ชาวเมืองจำนวนมากออกมาร่วมพิธีทางศาสนาเนื่องในวันปาล์มซันเดย์ (Palm Sunday) หรือวันอาทิตย์ก่อนเทศกาลอีสเตอร์ และยังถือเป็นหนึ่งในวันสำคัญทางคริสต์ศาสนา
การโจมตีครั้งนี้นับเป็นเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตจากการโจมตีพลเรือนมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2023 ขณะที่เมื่อสัปดาห์ก่อน เมือง Kryvyi Rih ในตอนกลางของยูเครนก็เพิ่งถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธจากรัสเซีย มีผู้เสียชีวิต 20 คน
ด้าน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดีของยูเครน ออกแถลงการณ์ยืนยันเหตุโจมตี พร้อมเรียกร้องให้ประชาคมโลกแสดง “การตอบโต้ที่แข็งกร้าว“ โดยเขาระบุว่า “รัสเซียต้องการสร้างความหวาดกลัวเช่นนี้ และกำลังยืดเยื้อสงครามออกไป และการปราศจากแรงกดดันจากนานาชาติ จะไม่มีทางเกิดสันติภาพได้ คำพูดไม่สามารถหยุดขีปนาวุธและระเบิดได้ เราต้องปฏิบัติกับรัสเซียเช่นเดียวกับผู้ก่อการร้าย”
ยูเลีย สวีรีเดนโก รัฐมนตรีเศรษฐกิจของยูเครน ระบุว่าขณะเกิดเหตุ มีประชาชนจำนวนมากออกมาร่วมพิธีทางศาสนาในโบสถ์ใจกลางเมืองซูมี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวันอาทิตย์ที่มีผู้เข้าร่วมพิธีทางศาสนามากที่สุดของปี
ส่วน โวโลดิเมียร์ อาร์ติอุค หัวหน้าการบริหารทหารประจำภูมิภาค เปิดเผยว่า รัสเซียยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้เข้าสู่ใจกลางเมือง 2 ลูก โดยตั้งใจเล็งไปที่ช่วงเวลาที่มีประชาชนจำนวนมากอยู่ตามท้องถนน เพื่อสร้างความเสียหายสูงสุด
โดยคลิปวิดีโอจาก อีฮอร์ คลีเมนโก รัฐมนตรีมหาดไทย เผยให้เห็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิงกำลังควบคุมเพลิงที่ลุกไหม้รถยนต์ และช่วยเหลือผู้รอดชีวิตออกจากอาคาร บ้านเรือนและอาคารพาณิชย์ในใจกลางเมืองพังเสียหาย หน้าต่างแตกละเอียด ซากปรักหักพังเกลื่อนพื้น และมีร่างผู้เสียชีวิตที่ถูกคลุมด้วยผ้าฉุกเฉิน
ขณะที่ภาพและคลิปวิดีโอบางส่วนที่ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ ถูกเผยแพร่ผ่านทางเทเลแกรม เสียงระเบิดดังกึกก้อง และกลุ่มควันดำพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ทั้งนี้ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รัสเซียได้เพิ่มระดับการโจมตีทางอากาศและขีปนาวุธในภูมิภาคซูมี ขณะเดียวกันก็กดดันกองทัพยูเครนให้ออกจากพื้นที่ใกล้ชายแดนในเขตเคอร์สก์ของรัสเซีย พร้อมยึดครองหมู่บ้านเล็กๆ บางแห่งในฝั่งยูเครนได้แล้ว
ภาพ: Stringer / Reuters
อ้างอิง:
