×

เจาะแนวคิด ‘ทักษิณ’ ชงซื้อหนี้ประชาชนจากแบงก์ แก้ปัญหาหนี้ได้จริงหรือไม่

19.03.2025
  • LOADING...
thaksin-debt-buyback

HIGHLIGHTS

4 min read
  • ถอดความคิด ‘ทักษิณ’ อดีตนายกรัฐมนตรี ชง ‘ซื้อหนี้’ จากระบบธนาคาร หวังให้แบงก์ปล่อยกู้ได้มากขึ้น เพิ่มสภาพคล่องและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • ด้านรัฐมนตรีคลังรับลูก เร่งถกสมาคมแบงก์พาณิชย์
  • CIMB Thai มองว่าปัญหาหนี้ปีนี้ต่างจากปี 2540 ชี้ว่าแบงก์ไม่ปล่อยกู้มาจากกังวลความเสี่ยงลูกหนี้เป็นหลัก แนะนำว่านอกจากซื้อหนี้แล้ว ควรยกระดับระบบการค้ำประกันสินเชื่อและสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนด้วย
  • SCB EIC เตือนรัฐรอบคอบเรื่องแหล่งที่มาของเงินทำมาตรการ และเตรียมป้องกันภาวะ Moral Hazard ด้วย

ประเด็นร้อนที่กำลังเป็นกระแสในขณะนี้ กรณีที่อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ เสนอแนวคิดให้รัฐบาลซื้อหนี้ประชาชนจากแบงก์ เพื่อใช้แก้ปัญหาหนี้ ขณะที่ รมว.คลัง ก็รับลูกแบบทันที จึงเป็นที่น่าติดตามต่อว่าแนวคิดนี้จะแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่

 

ถอดแนวความคิด ‘ซื้อหนี้’

 

ย้อนกลับไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวตรงกับแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการซื้อหนี้ของประชาชนออกจากระบบธนาคาร เนื่องจากต้องการให้หนี้สินคนไทยหมดไป และให้คนไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ยกสถานะแบล็กลิสต์จากเครดิตบูโรให้หมด ให้เป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่องทำมาหากินใหม่ โดยจะไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาท เนื่องจากวันนี้รัฐเป็นหนี้เยอะแล้ว โดยสามารถให้เอกชนลงทุน

 

โดยวานนี้ (18 มีนาคม) พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับแนวคิดการซื้อหนี้โดยไม่ใช้งบประมาณแผ่นดินว่า แนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวเป็นแนวทางคล้ายกับปี 2540 ที่ต้องแยกบัญชี Good bank-Bad bank คล้ายกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) โดยครั้งนี้คงต้องทำร่วมกับธนาคาร ในฐานะที่เป็นเจ้าของหนี้ และอาจมีเอกชนที่สนใจเข้ามาร่วมบริหาร รวมถึงภาครัฐด้วยว่าจะสามารถเข้าไปช่วยอย่างไร

 

ส่วนแนวคิดของทักษิณที่ระบุว่าการซื้อหนี้ประชาชนจากระบบธนาคารจะไม่ต้องใช้เงินงบประมาณจากรัฐเลยนั้น พิชัย กล่าวว่า แล้วแต่เงื่อนไข ซึ่งอาจเป็นทั้งเป็นไปได้ และเป็นไปไม่ได้

 

เทียบสถานการณ์หนี้ปี 2540 vs. 2568

 

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจของไทยปี 2540 ในยุคนั้นได้มีการตั้งแยกบัญชีตั้ง Good Bank-Bad Bank หรือตั้งบริษัทจัดการสินทรัพย์ (AMC) มาแก้ปัญหาหนี้เสีย (NPL) ผ่านการซื้อ NPL ออกจากสถาบันการเงิน เนื่องจาก NPL ของสถาบันการเงินในยุคนั้นพุ่งทะลุเกิน 10% ทำให้ธนาคารมีความจำเป็นต้องตั้งสำรองหนี้เสียในสัดส่วนที่สูงตาม NPL จึงทำให้สถาบันการเงินต้องขาดสภาพคล่อง จนทำให้การปล่อยสินเชื่อให้ชะลอตัวตามไปด้วย และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจต่อเนื่อง

 

ดังนั้น การนำ Good Bank-Bad Bank ใช้แก้ปัญหาจะสามารถช่วยให้สภาพคล่องของสถาบันการเงินในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ดีขึ้นสามารถปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้มากขึ้น

 

ขณะที่สถานการณ์ปัญหาเศรษฐกิจของไทยปัจจุบันถือว่ามีความแตกต่างจากวิกฤตเศรษฐกิจช่วงปี 2540 โดยขณะนี้ NPL ในระบบธนาคารพาณิชย์ขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 3% ไม่รุนแรงเท่ากับช่วงปี 2540

 

อย่างไรก็ดี คาดว่ากรณีที่รัฐบาลปัจจุบันมีแนวคิดในการแยก Good Bank-Bad Bank เพื่อซื้อหนี้จากธนาคารพาณิชย์ ส่วนเนื่องจากมีเป้าหมายในการหามาตรการช่วยสร้างแรงจูงใจในการเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านการสนับสนุนให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น เพราะปัจจุบันธนาคารมีการพิจารณาการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดสูง ส่งผลให้อัตราการเติบโตในการปล่อยสินเชื่อในระบบปี 2568 คาดว่า จะไม่เติบโต ต่อเนื่องอีกปีจากปี 2567

 

ดร.อมรเทพ ยังกล่าวต่อ สถานการณ์ปัจจุบัน การขาดสภาพคล่องไม่ใช่ปัญหาหลัก เพราะธนาคารพาณิชย์ยังมีเงินสดหรือสภาพคล่องที่อยู่ในระดับมาก แตกต่างจากปีวิกฤตปี 2540 ที่มีปัญหาขาดสภาพคล่อง ส่วนปัญหาปัจจุบันที่ธนาคารปล่อยสินเชื่อในระดับต่ำ เป็นเพราะมีปัญหาความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูง จึงมีความกังวลว่าหากปล่อยสินเชื่อออกไปจะมีโอกาสได้รับการคืนหนี้ที่ต่ำ เนื่องจากเศรษฐกิจมีการเติบโตช้า ไม่ทั่วถึง และเปราะบาง โดยเฉพาะกำลังซื้อในระดับล่าง

 

CIMB Thai แนะใช้มาตรการหลากหลายประกอบกันเพื่อผลที่ดีขึ้น

 

ดร.อมรเทพ คาดว่า มาตรการซื้อหนี้จากธนาคารน่าจะมีส่วนช่วยให้สภาพคล่องในระบบดีขึ้นบ้าง แต่อาจไม่ใช่มาตรการเดียวที่ดำเนินการเพื่อให้ได้ผลที่ดีขึ้น ดังนั้นมีข้อเสนอเพิ่มเติม เช่น

 

  1. มีระบบการค้ำประกันสินเชื่อ โดยมีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาค้ำประกันแบกรับความเสี่ยงร่วมกับธนาคารพาณิชย์

 

  1. ควรดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตแบบยั่งยืน เช่น การกระตุ้นเพิ่มการจ้างให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวดีขึ้น

 

SCB EIC เตือนรัฐรอบคอบเรื่องแหล่งที่มาของเงิน-ป้องกัน Moral Hazard

 

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวคิด ‘การซื้อหนี้’ และการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์แห่งชาติ (National AMC) โดยระบุว่า เข้าใจว่า ตอนนี้ทุกภาคส่วนพยายามหาทางและช่วยกันออกความคิดในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน จึงแนะรัฐบาลว่า ในการวางกรอบการปฏิบัติ ควรต้องมองให้รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น แหล่งที่มาของเงิน เนื่องจากห่วงภาระทางการคลังจะเพิ่มขึ้นได้ และควรต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ Moral Hazard ด้วย

 

ไทยเคยตั้ง National AMC แล้วเมื่อปี 2540

 

ทั้งนี้ ไทยเคยจัดตั้ง National AMCs ในชื่อ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (Thai Asset Management Corporation: TAMC) ในช่วงวิกฤตการณ์การเงินในเอเชียปี 2540 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบสถาบันการเงิน

 

โดย TAMC มีกำลังรับซื้อหนี้เสียมากถึง 7.8 แสนล้านบาทในช่วงปี 2542-2546 และมีสัดส่วนมูลค่าสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่จัดการได้ต่อมูลค่าทางบัญชี (Disposal Rate) สูงถึง 73.46% (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2546) เทียบกับ Korea Asset Management Corporation (KAMCO) ที่รัฐบาลเกาหลีใต้จัดตั้งขึ้นเพื่อซื้อหนี้เสียในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 (61.6) ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน

 

SCB EIC มองตั้ง National AMC หนุนแบงก์ปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น

 

ดร.ยรรยง ระบุอีกว่า ปัจจุบัน กลการจัดการสินทรัพย์ที่มีปัญหาของไทยอาจไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ บริษัท AMC แต่ละแห่งต่างคนต่างทำ จึงทำให้สินทรัพย์บางประเภทร่วงลงค่อนข้างเร็ว เช่น ที่ดิน และรถยนต์ ทำให้เกิด Discount มาก จนต้นทุนความเสี่ยงของสินเชื่อ (Credit Cost) ของสถาบันการเงินสูงขึ้น ดังนั้น การตั้ง National AMC อาจทำให้ Credit Cost ลดลงได้ ทำให้สถาบันการเงินก็อาจมี Room ให้ปล่อยสินเชื่อมากขึ้นได้

 

ทั้งนี้ ในบทความของ SCB EIC ก่อนหน้านี้ ระบุว่า แม้ AMC ภาคเอกชนดำเนินธุรกิจในระบบตลาด มีแรงจูงใจที่จะบริหารจัดการหนี้ให้เร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด แต่ก็มีข้อเสียคือ AMCs แต่ละแห่งแยกกันบริหารจัดการหนี้เสีย นอกจากนี้ ในบางกรณี AMCs เอกชนที่แสวงหากำไรอาจเร่งเทขายสินทรัพย์ทอดตลาดพร้อมกันจนราคาตกลงมาก

 

สะท้อนว่า “การจัดตั้ง National AMC เพื่อรับซื้อและบริหารจัดการหนี้แบบรวมศูนย์ การรับซื้อหนี้เสียปริมาณมากจากสถาบันการเงินหลายแห่งทำให้มี Economies of Scale และ Economies of Scope ในการบริหาร และสามารถกระจายความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ National AMC ยังเข้าถึงเงินลงทุนภาครัฐและจะมีอำนาจต่อรองในการขายสินทรัพย์ทอดตลาดอีกด้วย” SCB EIC ระบุ

 

BAM รอความชัดเจนนโยบายรัฐซื้อหนี้จากแบงก์

 

ด้านบรรยง วิเศษมงคลชัย รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, รองประธานกรรมการ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM THE STANDARD WEALTH ว่า BAM ปัจจุบันมีธุรกิจหลัก คือ AMC ซึ่งมีการซื้อ NPL มาบริหารอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่รัฐบาลมีแนวคิดในการซื้อหนี้ประชาชนจากธนาคารพาณิชย์นั้น ขอศึกษารายละเอียดที่ชัดเจนว่าจะมีรูปแบบอย่างไร

 

วิเศษมงคลชัย รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, รองประธานกรรมการ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM

วิเศษ มงคลชัย รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, รองประธานกรรมการ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM

 

‘ธีระชัย’ ชี้แนวคิดโอนหนี้ประชาชน แก้ปัญหาหนี้ผิดวิธี

 

ด้าน ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, รองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า แนวคิดโอนหนี้ธนาคารพาณิชย์ของประชาชน ที่มีปัญหาไม่สามารถคืนหนี้ มาเป็นหนี้ของประชาชนผู้เสียภาษีทั้งประเทศ ตามแนวคิดของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น

 

โดยมีมุมมองว่าเป็นการแก้ปัญหาหนี้ผิดวิธี ซึ่งข้อเสนอแนวคิดนี้เป็นเพียงแต่ย้ายปัญหา จากที่แห่งหนึ่งนำไปวางไว้อีกแห่งหนึ่ง เป็นเพียงแต่ย้ายปัญหาจากประชาชนกลุ่มเล็กที่เป็น NPL ไปเป็นภาระของคนทั้งประเทศ ยาวไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน

 

ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, รองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ

ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, รองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising