‘แม้นานแค่ไหนก็จะรอ’ 9 ปี เที่ยวบิน MH370 หายสาบสูญ ครอบครัวผู้สูญหายยังรอฟังความจริง

8 มีนาคม 2014

00.41 น.

เครื่องบินของสายการบิน Malaysia Airlines เที่ยวบิน MH370 ได้พาผู้โดยสาร 227 คนทะยานออกจากสนามบินนานาชาติกรุงกัวลาลัมเปอร์ขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน เพื่อมุ่งหน้าไปยังกรุงปักกิ่งของจีน หลายครอบครัวเตรียมตัวกลับบ้าน เพื่อพบหน้ากับลูกสาวลูกชายที่ตนเองรัก ขณะที่บางคนเตรียมไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในต่างแดน รวมถึงคู่รักที่เตรียมจะไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ด้วยกัน ท่ามกลางการดูแลของลูกเรืออีก 12 ชีวิตที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน

01.19 น.

MH370 ได้ติดต่อมายังหอบังคับการบินมาเลเซียตามปกติ โดยมีเสียงจากกัปตันพูดว่า “ราตรีสวัสดิ์ มาเลเซีย 370”

และนั่นคือการติดต่อครั้งสุดท้าย

ไม่มีใครคาดคิดว่าการซื้อตั๋วไฟลต์บิน MH370 จะเป็นตั๋วเที่ยวเดียว เที่ยวสุดท้าย ที่เดินทางไปและไม่หวนกลับมาอีกเลย

หากยังคงจำกันได้ ข่าวเครื่องบิน Boeing 777 ลำยักษ์หายไปจากจอเรดาร์ในเวลานั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สะเทือนไปทั้งโลก สำนักข่าวทุกประเทศเกาะติดสถานการณ์กันอย่างใกล้ชิด มีการรายงานสถานการณ์สดแบบเรียลไทม์ ผู้คนทั่วโลกต่างลุ้นเอาใจช่วยให้ MH370 โผล่ขึ้นมาที่จอเรดาร์อีกครั้ง แต่ในที่สุดปาฏิหาริย์ก็ไม่มีจริง

ในเวลาต่อมา รัฐบาลมาเลเซียและอีกหลายประเทศทั่วโลกได้ระดมกำลังกันค้นหาเครื่องบินอย่างต่อเนื่อง พร้อมทุ่มงบประมาณไปกว่าร้อยล้านดอลลาร์ ส่งผลให้กลายเป็นปฏิบัติการค้นหาที่ใช้งบประมาณมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ถึงแม้จะลงสรรพกำลังในการค้นหามานาน 3 ปี ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1.2 แสนตารางกิโลเมตร ตลอดจนมีบริษัทเอกชนอย่าง Ocean Infinity เข้ามาช่วยค้นหาด้วยอีกครั้งในปี 2018 แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่พบซากเครื่องบิน จะมีก็แต่เพียงเศษส่วนชิ้นเล็กๆ ที่ถูกพัดพามาเกยตื้นตามชายฝั่งแอฟริกา และตามเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรอินเดีย

กาลกระโดดผ่านมา 9 ปี ผู้คนเริ่มลืมเลือนเรื่องราวของ MH370 เนื่องจากปฏิเสธไม่ได้ว่ามันไร้ความหวังที่จะเจอผู้รอดชีวิต แต่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมหมดหวัง นั่นคือบรรดาครอบครัวของผู้โดยสารและลูกเรือที่ยังรอคอยจะได้ฟัง ‘ความจริง’ ว่าเกิดอะไรในค่ำคืนนั้น จนทำให้คนที่พวกเขารักไม่กลับมาอีกเลย

เคเอส นาเรนเดรน กล่าวว่า สมาชิกในครอบครัวของผู้สูญหายทั้งหมดยังคงรอคอยคำตอบ เพื่อหวังจะได้ปลดพันธนาการแห่งความเจ็บปวดจากความมืดดำที่ยังปกคลุมชะตากรรมของ MH370 ซึ่งทำให้เขายังคงทุกข์ใจทุกครั้งเมื่อหวนนึกถึง ไม่ต่างจากวันแรกที่เครื่องบินหายสาบสูญไป

“สำหรับเราทุกคนแล้ว การหาคำตอบยังคงเป็นเรื่องสำคัญ” นาเรนเดรนกล่าวในพิธีรำลึกครบรอบ 9 ปีของอุบัติเหตุ MH370 ซึ่งจัดขึ้นทางออนไลน์เมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา โดยเขาได้สูญเสีย จันทริกา ชาร์มา ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่อยู่กินกันมาถึง 25 ปีไปจากเหตุการณ์ดังกล่าว

“การค้นหาคำตอบคือการเตือนตัวเราเองว่ามีเครื่องบินลำหนึ่งหายไป ซึ่งเราแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย และเราต้องการคำตอบแม้นานเแค่ไหนก็จะรอ”

แจคควิตา กอนซาเลส ซึ่งสูญเสีย แพทริก กอมส์ ผู้เป็นสามีซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รับผิดชอบดูแลเที่ยวบิน MH370 ในขณะนั้น ได้เรียกร้องให้คนทั่วโลกช่วยกันกดดันผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อร่วมหาคำตอบไปกับสมาชิกในครอบครัวทุกคน พร้อมยืนยันว่าการเรียกร้องหาคำตอบนั้นจะต้องเดินหน้าต่อไป ผู้โดยสารรวมถึงลูกเรือทั้งหมดบนเที่ยวบิน MH370 จะต้องไม่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา

ญาติของผู้ที่หายสาบสูญได้รวมตัวกันก่อตั้งกลุ่ม Voice370 ขึ้นมา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลมาเลเซียสนับสนุน Ocean Infinity ในการส่งหุ่นยนต์ปฏิบัติการทางทะเลลงพื้นที่ค้นหาอีกครั้งหนึ่ง โดยระบุว่า นอกเหนือสิทธิ์ที่จะได้รับรู้ชะตากรรมของผู้เป็นที่รักแล้ว แต่กรณีที่เกิดขึ้นกับ MH370 ก็สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่านี่เป็นความบกพร่องด้านความปลอดภัยทางการบินระดับโลก

“ตราบใดที่เรายังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับ MH370 เราก็จะไม่สามารถป้องกันโศกนาฏกรรมที่คล้ายกันได้ ดังนั้น เราเชื่อว่ามันเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากที่การค้นหา MH370 จะต้องเดินหน้าต่อไปจนเสร็จสิ้น”

โอลิเวอร์ พลันเคตต์ หัวหน้าผู้บริหารของ Ocean Infinity กล่าวกับสำนักข่าว Guardian Australia ว่า บริษัทมีความพร้อมอย่างมากสำหรับเริ่มต้นการค้นหาครั้งใหม่ โดยระบุว่า เขาจะเข้าพบกับตัวแทนของรัฐบาลมาเลเซียในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เนื่องจากตอนนี้บริษัทพบ ‘หลักฐานชิ้นใหม่’ ที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุดังกล่าวแล้ว แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยว่าหลักฐานนั้นคือสิ่งใดกันแน่ ซึ่งต้องจับตากันต่อไปว่าในท้ายที่สุดรัฐบาลมาเลเซียจะยอมไฟเขียวหรือไม่

“คนที่เรารักหายสาบสูญไป พวกเขาไม่ได้อยู่กับเราอีกแล้ว” นาเรนเดรนกล่าว “เราไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ชีวิตของเราเหมือนหยุดนิ่งอยู่ที่วันที่ 8 มีนาคม 2014”

สำหรับนาเรนเดรนแล้ว เขาหวังว่าจะมีสักวันหนึ่งที่ MH370 จะมีบทสรุปให้กับเขา เพื่อสลัดเมฆหมอกแห่งความคลุมเครือที่กัดกินจิตใจมานานถึง 9 ปีเต็ม

ภาพ: Bjoern Wylezich Via Shutterstock

อ้างอิง: