เคยเป็นไหม? เรื่องนั้นก็กำลังฮิต เรื่องนี้เพื่อนก็ป้ายยา ซีรีส์เกาหลีเข้าใหม่ อนิเมะเรื่องดังก็มา พอรู้ตัวอีกทีเราก็กดสมัครแอปดูหนังไปแล้ว 3-4 เจ้าพร้อมกัน
แต่ความน่ากลัวอยู่ที่ตอนสิ้นเดือน พอเห็นเงินคงเหลือในบัญชีแล้วถึงกับช็อก เพราะ ‘เงินหายไปไหนหมด?’ คำตอบก็คือ มันละลายไปกับค่าสมาชิกรายเดือนที่เราจ่ายทิ้งไว้โดยไม่รู้ตัวนั่นเอง
เพื่อให้เรายังมีความสุขกับความบันเทิงได้โดยไม่ต้องกุมขมับเรื่องค่าใช้จ่าย ลองนำ 9 วิธีบริหารจัดการค่าสตรีมมิ่งเหล่านี้ไปปรับใช้ดู รับรองว่าช่วยเซฟเงินได้จริง
1. สลับหมุนเวียนบริการสตรีมมิ่ง
อย่าสมัครทุกแอปพร้อมกัน นี่คือเทคนิคที่ประหยัดเงินได้มากที่สุด แทนที่จะสมัครทุกแอปพร้อมกัน ให้ใช้วิธี ‘ดูทีละเจ้า’ เลือกสมัครเฉพาะแอปที่มีคอนเทนต์ที่เราอยากดูที่สุดในตอนนั้น
เมื่อดูจบครบแล้วให้ยกเลิกหรือพักการเป็นสมาชิกไว้ก่อน แล้วค่อยย้ายไปสมัครแอปอื่นที่มีเรื่องใหม่รออยู่ การทำแบบนี้จะทำให้เสียเงินแค่เดือนละแอปเดียว แทนที่จะต้องจ่ายพร้อมกันหลายแอป
เคล็ดลับ: ตั้งการแจ้งเตือนในปฏิทินเพื่อยกเลิกก่อนวันเรียกเก็บเงินรอบถัดไป
2. เลือกแผนแบบกลุ่มหรือครอบครัว
การเป็น Lone Wolf หรือฉายเดี่ยว มักจะแพงเสมอในโลกสตรีมมิ่ง หากมีสมาชิกในบ้านหรือกลุ่มเพื่อนที่ไว้ใจได้ การหารค่าสมาชิกคือทางออกที่คุ้มค่าที่สุด
แผน Family ของหลายๆ ค่ายเมื่อนำมาหารเฉลี่ยรายหัวแล้ว มักจะมีราคาถูกกว่าการสมัครแยกคนเดียวเกินครึ่ง
ดังนั้นลองสำรวจดูว่าคนรอบข้างใช้แอปไหนอยู่บ้าง แล้วรวมกลุ่มกันเพื่อแชร์ค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ตรวจสอบเงื่อนไขของแอปให้ดี บางแอปเคร่งครัดเรื่องที่อยู่ (ต้องอยู่บ้านเดียวกัน) บางแอปยืดหยุ่นกว่า ควรทำให้ถูกต้องตามกฎเพื่อป้องกันบัญชีถูกระงับ
Apple Music (เฉพาะเพลง)
แบบเดี่ยว (Individual): ราคา 139 บาท/เดือน
แบบครอบครัว (Family) – ได้สูงสุด 6 คน: ราคา 219 บาท/เดือน
ตกคนละ: ประมาณ 37 บาท
ประหยัดกว่าแบบเดี่ยว: 102 บาทต่อคน/เดือน
3. สมัครรายปีแทนรายเดือน
ถ้ามีแอปไหนที่มั่นใจแล้วว่าเป็น ‘แอปสามัญประจำบ้าน’ ที่ต้องเปิดดูแทบทุกวัน หรือมีรายการที่ต้องติดตามยาวๆ ตลอดทั้งปี
การยอมจ่ายเงินก้อนเพื่อสมัครแผนรายปีมักจะมาพร้อมส่วนลดที่คำนวณออกมาแล้วประหยัดกว่าการจ่ายทีละเดือนไปเรื่อยๆ อาจจะประหยัดลงไปประมาณ 15-20% เลย
WeTV VIP
แบบรายเดือน
ราคา: 129 บาท/เดือน รวม 1 ปี จ่ายประมาณ: 1,548 บาท
แบบรายปี – คุ้มกว่ามาก
ราคาปกติในแอป: ประมาณ 1200 บาท/ปี (เหมือนดูฟรี 5 เดือน)
ราคาโปรโมชั่น (ผ่านค่ายมือถือ AIS/True/Dtac): มักจะอยู่ที่ 599 บาท/ปี (เหมือนดูฟรี 7 เดือน)
4. ใช้ประโยชน์จากการทดลองใช้ฟรี
อย่ามองข้ามปุ่ม Free Trial หรือทดลองใช้ฟรี แพลตฟอร์มส่วนใหญ่มักเปิดโอกาสให้เราเข้าไปลองใช้งานก่อน 7 วัน หรือ 1 เดือน ช่วงเวลานี้เหมาะมากที่เราจะเข้าไปสำรวจว่ามีหนังที่ชอบไหม หรือใช้ดูเรื่องสั้นๆ ให้จบ
แต่กฎเหล็กคือ ทันทีที่กดสมัครทดลองใช้ ให้ตั้งนาฬิกาปลุกหรือแจ้งเตือนในปฏิทิน ไว้ก่อนวันหมดเขต 1 วัน เพื่อกดยกเลิกได้ทันท่วงทีหากเรารู้สึกว่าแอปนี้ยังไม่ตอบโจทย์
เหมาะสำหรับลูกค้าใหม่หรือลูกค้าที่กลับมาใช้บริการอีกครั้ง (ใครมีหลายอีเมล ลองเปลี่ยนอีเมลที่ใช้ล็อกอินก็จะได้สิทธิลองฟรีหลายครั้งนะ)
5. ดาวน์เกรดแพ็กเกจให้เหมาะกับการใช้งาน
ลองถามตัวเองดูว่า เราจำเป็นต้องดูความคมชัดระดับ 4K บนหน้าจอมือถือเล็กๆ หรือไม่ หรือเราดูคนเดียวแต่กลับสมัครแพ็กเกจที่ดูพร้อมกันได้ 4 จอหรือเปล่า?
การลดระดับแพ็กเกจลงมาเป็นระดับมาตรฐาน หรือแพ็กเกจสำหรับมือถือ จะช่วยลดรายจ่ายส่วนเกินที่ไม่จำเป็นออกไปได้ทันที ถ้าส่วนใหญ่แล้วเราดูคนเดียวบนโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต
Netflix (ประเทศไทย)
1. แพ็กเกจ Mobile – 99 บาท/เดือน
ความคมชัด 480p-High ดูได้ทีละ 1 จอ และ ไม่สามารถ ดูบนทีวีหรือคอมพิวเตอร์ได้ (Cast ขึ้นจอไม่ได้)
2. แพ็กเกจ Basic – 169 บาท/เดือน
ความคมชัด 720p ดูได้ทุกอุปกรณ์ ทั้งมือถือ ทีวี และคอมพิวเตอร์ ดูได้ทีละ 1 จอเท่านั้น
3. แพ็กเกจ Standard – 349 บาท/เดือน
ความคมชัด 1080p ภาพคมชัดมาตรฐาน ดูได้พร้อมกัน 2 จอ
4. แพ็กเกจ Premium – 419 บาท/เดือน
ความคมชัด 4K HDR (Ultra HD) ดูได้พร้อมกัน 4 จอ
6. สมัครสตรีมมิ่งผ่านผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต
ลองเช็กโปรโมชั่นกับค่ายมือถือหรือผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านของเรา บ่อยครั้งที่แพ็กเกจรายเดือนที่เราใช้อยู่ อาจจะมีสิทธิ์ดูแอปสตรีมมิ่งฟรีแถมมาให้ หรือมีส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าเก่า การใช้สิทธิ์ตรงนี้ช่วยให้เราไม่ต้องควักเงินจ่ายค่าสมาชิกเต็มจำนวน
iQIYI
สมัครเองโดยตรง (ผ่านแอป/เว็บ)
Premium VIP (4 จอ / 4K) รายเดือน: 199 บาท / รายปี: 2,000 บาท
สมัครผ่านค่ายมือถือ (AIS / True / Dtac) – คุ้มกว่า
Premium ราคาโปรโมชั่นมักอยู่ที่ 119 บาท/เดือน และ 1,200 บาท/ปี
7. พิจารณาแผนที่มีโฆษณาคั่น
แอปสตรีมมิ่งบางเจ้ามีตัวเลือกแผนที่ราคาถูกลงหรือฟรี แต่จะมีโฆษณาคั่น หากเราไม่ได้กังวลเรื่องโฆษณา นี่เป็นวิธีที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก
8. คอยเฝ้าโปรโมชั่นและดีลพิเศษ
แอปสตรีมมิ่งก็เหมือนสินค้าทั่วไปที่มีช่วงลดราคา โดยเฉพาะช่วงเทศกาลอย่าง 12.12, Payday
หรือแม้แต่ข้อเสนอพิเศษทางอีเมลเพื่อดึงลูกค้าเก่ากลับไปใช้บริการ การรอจังหวะดีๆ เหล่านี้จะทำให้เราได้ราคาที่ถูกลงกว่าปกติมาก
Spotify
โปรโมชั่น Premium Individual 3 เดือน 149 บาท จากปกติเดือนละ 149 บาท (หารเฉลี่ยตกเดือนละ 49 บาท) หมดเขต 31 ธันวาคม 2025
9. หมั่นตรวจสอบและยกเลิกบริการที่ไม่ได้ใช้
ข้อสุดท้ายสำคัญที่สุด คือการตรวจสอบสมาชิกรายเดือนตัวเองเป็นประจำ เพื่อดูว่าเราจ่ายเงินไปกับแอปไหนบ้าง
หากพบว่าแอปไหนที่ไม่ได้กดเข้าไปดูเลยตลอด 1-2 เดือนที่ผ่านมา นั่นคือสัญญาณเตือนว่ามัน ‘ไม่คุ้ม’ อีกต่อไป ให้รีบกดยกเลิกทันที
จำไว้ว่าเราสามารถกลับมาสมัครใหม่ได้เสมอเมื่อมีหนังที่อยากดู อย่าปล่อยให้มันตัดเงินเราเล่นๆ ไปเรื่อยๆ
สุดท้ายแล้ว ‘ความบันเทิง’ ไม่ควรเป็นภาระ การประหยัดค่าสมาชิกไม่ได้แปลว่าเราต้องอดดูสิ่งที่ชอบ แต่แปลว่าเรารู้จักเลือก ‘จ่าย’ ให้กับสิ่งที่ ‘ใช่’ ในเวลาที่เหมาะสม เพราะอิสระทางการเงินที่แท้จริง เริ่มต้นจากการอุดรอยรั่วเล็กๆ เหล่านี้… เพื่อให้เงินทุกบาทที่ประหยัดได้ กลายเป็นตั๋วพาเราไปหาความสุขที่ใหญ่กว่าเดิม
หมายเหตุ: ราคาและโปรโมชั่นแต่ละสตรีมมิ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลง
ภาพ: Catherine Falls Commercial
อ้างอิง:


