* มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์
ในวันที่ทุกคนกำลังตื่นเต้นเพราะเพลงฮิปฮอปกำลังอาละวาดไปทั่วเมือง ผ่านรายการประกวดค้นหาแรปเปอร์หน้าใหม่ 2 รายการดังอย่าง The Rapper และ Show Me The Money Thailand เราได้เห็นการขึ้นโชว์ทักษะการร้องและเขียนเนื้อเพลงที่สร้างสรรค์ บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเอง เพื่อน สังคม และครอบครัว รวมทั้งการขึ้นไป ‘ประลองไมค์’ ด้วยการสบถไรม์และคำด่าบนเวที Rap is Now ทั้ง 3 ซีซัน ที่ช่วยปลุกกระแสแรปแบทเทิลในไทยให้กลับมาบูมอีกครั้ง
แต่ถ้าย้อนไปในปี 2002 เราจะได้เห็นชีวิตของ ‘แรปเปอร์’ คนหนึ่ง ที่แรปของเขามีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น เพราะการแรปคือสิ่งเดียวในชีวิตที่จะช่วยให้เขาเอาชนะอุปสรรคและความกลัวที่อยู่ในจิตใจไปได้ ผ่านหนังเรื่อง 8 Mile กำกับโดยเคอร์ติส แฮนสัน และเป็นผลงานการแสดงครั้งแรกของ Eminem แรปเปอร์ผิวขาวที่สร้างปรากฏการณ์ครองใจผู้คนทั้งโลกไม่เว้นแม้กระทั่งคนผิวสี ต้นตำรับดั้งเดิมของเพลงฮิปฮอป
เคอร์ติส แฮนสัน (ผู้กำกับ) และ Eminem
ตัวหนังเล่าย้อนไปในปี 1995 โดยใช้เมืองดีทรอยต์ เมืองแห่งอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐอเมริกาในยุคเศรษฐกิจตกต่ำเป็นฉากหลัง มีการรวมตัวเป็นแก๊งสเตอร์ก่ออาชญากรรมกวนเมืองจนเป็นเรื่องปกติ เมืองถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ฝั่งชัดเจนระหว่างคนขาวและคนผิวสีด้วยถนน 8 Mile ที่รอบล้อมอยู่ มีเพียงพื้นที่เดียวเท่านั้นที่ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นและสีผิว (ยกเว้นการแรปแบทเทิลที่มีการใช้เรื่องพวกนี้มาดิสกันในการแข่งขัน) ก็คือพื้นที่บนโลกดนตรีฮิปฮอป ที่ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหน แต่เมื่อไรก็ตามที่คุณจับไมค์ยืนอยู่บนเวที ทุกคนคือ ‘แรปเปอร์’ ที่เท่าเทียมกัน
ตัวเอกของเรื่องอย่าง จิมมี สมิธ จูเนียร์ a.k.a B Rabbit (นักแสดงนำ โดย Eminem) คือตัวอย่างที่ดีที่สุดของเด็กวัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่มีเพียงการแรปอย่างเดียวเท่านั้นเป็นที่ยึดเหนี่ยว เขาเติบโตมาในครอบครัวที่ยากจน อาศัยอยู่กับแม่ติดเหล้าและติดการพนันบิงโก ที่หอบสามี (คนล่าสุด) อายุคราวลูกมาอยู่ในบ้าน ต้องทำงานพิเศษอย่างหนักในโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ แถมยังโดนหัวหน้าเขม่นและจ้องเล่นงานตลอดเวลา จะมีก็เพียงลิลลี่ น้องสาวตัวเล็กแสนน่ารักที่เป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตที่แสนมืดมน
แม่ที่ติดการเล่นบิงโกและแอลกอฮอล์ และลิลลี่ น้องสาวที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของ B Rabbit
โชคดีที่ถึงแม้ชีวิตจะแย่ขนาดไหน เขายังมีพรสวรรค์ในการหยิบจับเรื่องราวรอบตัวทั้งคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ออกมาร้อยเรียงเป็นไรม์ที่สวยงาม รวมตัวกับเพื่อนๆ ตั้งวง 313 (Three One Third) แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าการเป็นคนผิวขาว โดยเฉพาะแรปเปอร์เผือกที่เกิดมาในครอบครัวยากจนนั้นเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งที่แวดวงฮิปฮอปไม่ยอมรับและตั้งเป้าโจมตี เขารู้ตัวและรับความกดดันข้อนี้ไว้บนบ่า กระทั่งวันที่ต้องเปิดตัวบนเวทีแรปแบทเทิลครั้งแรกที่ร้านเชลเตอร์ เขาถูกคู่ต่อสู้ข่มจนหงอและสะกดความกลัวเอาไว้ไม่อยู่ ถูกมองว่าเป็นเพียง ‘กระต่าย’ ตัวเล็กๆ ที่ไม่มีพิษสง พร้อมที่จะถูกขย้ำได้ตลอดเวลา สุดท้ายเขาพ่ายแพ้ ต้องวิ่งหนีจากเวที ความฝันที่จะแจ้งเกิดวงของตัวเองแตกสลายทั้งที่ยังไม่ทันได้พ่นไรม์คมๆ ที่คิดเอาไว้แม้แต่คำเดียว
เมื่อความฝันพังทลาย เขากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่ทุกคนมองเขาเป็นตัวประหลาด เขากลับมาอยู่ในรถบ้านคันเก่า ทะเลาะกับผัวใหม่ของแม่ (ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน) พร้อมกับความจริงที่ว่าแม่เขาค้างค่าเช่ารถคันนี้มาเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว
เขาสูญเสียความมั่นใจทั้งหมด คิดหันหลังให้เวทีแบทเทิล จนได้รับข้อเสนอให้ทำเดโมเพลงของตัวเองจากวิงก์ คนสนิทของ Papa Doc ราชาแรปแบทเทิลที่ถือว่าเป็นศัตรูคนสำคัญ แต่เพื่อนๆ ในวงไม่เห็นด้วย เพราะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากศัตรูและคิดว่าหนทางรอดเพียงอย่างเดียวของวงอยู่บนเวทีแรปแบทเทิลเท่านั้น และพยายามผลักดันให้เขากลับคืนสู่สังเวียนอีกครั้ง
ระหว่างนี้เหมือนขาทั้ง 2 ข้างของจิมมียืนอยู่คนละฟากระหว่างความฝันกับความจริง ข้างหนึ่งเขายังคงทำงานพิเศษอย่างหนักในตอนกลางวัน ยอมไม่มีปากมีเสียงกับใครเพื่อเก็บเงินให้ได้มากที่สุด ส่วนอีกข้างหนึ่งเขายังคงใช้ชีวิตแบบแก๊งสเตอร์ร่วมกับเพื่อนๆ ออกไปกวนเมืองบ้าง ออกไปแจมแข่งแรปเป็นครั้งคราว ซึ่งเขายังทำได้ดีในเวทีเล็กๆ ที่เป็นกันเอง แต่ความกลัว ‘เวทีใหญ่’ ยังเป็นโรคร้ายที่ติดอยู่ในใจของเขาเรื่อยมา
จนกระทั่งชีวิตมาถึงจุดไคลแมกซ์ เมื่อเขาตัดสินใจแตกหักกับเพื่อนสนิทเพื่อไปทำเพลงกับวิงก์ แต่สิ่งที่เห็นดันเป็นภาพคนที่ควรจะมาให้ความหวังกำลังมีเซ็กซ์กับแฟนสาวของตัวเองอยู่ ซ้ำร้ายเขายังถูก Papa Doc พาพวกบุกมาทำร้ายถึงรถบ้านคันเก่า ที่เขาพยายามปิดบังมาตลอดไม่ให้ใครรู้
ความหวังของเขาแทบแตกสลายลงไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาเลือกที่รับมือด้วยการเอาชนะความกลัว และกลับไปต่อสู้กับ Papa Doc บนเวทีตามวิถี ‘เรียล แรปเปอร์’ อีกครั้ง และด้วยความมั่นใจและทะนงของราชาไมค์ Papa Doc เขาเลือกที่จะให้จิมมีเป็นฝ่ายเริ่มบุกก่อน และนั่นนำไปสู่ความผิดพลาดที่ทำให้เขากลายเป็นราชาไร้บัลลังก์ในเวลาต่อมา
ก่อนหน้านี้ B Rabbit เคยคิดว่าอาวุธของเขาคือการพยายามเอาชนะด้วยการโจมตีใส่จุดอ่อนของคู่ต่อสู้ และปกปิดความลับของตัวเองที่จะโดนโจมตีให้ได้มากที่สุด เขาถึงได้หัวเสียทุกครั้งที่ความลับเรื่องแม่และที่อยู่ของตัวเองถูกเปิดเผย และยิ่งเขามีจุดอ่อนให้ปกปิดมากเท่าไร เขาก็ยิ่งกลัวที่จะถูกโจมตีมากขึ้นเท่านั้น
แต่ในวันนั้นเมื่อได้โอกาส เขารู้ว่า Papa Doc มีอาวุธที่พร้อมจะโจมตีใส่เขามากมาย แต่เขาเลือกที่เอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นอาวุธ เขาเคยถูกโจมตีว่าเป็นคนขาวแต่อยากแรป แต่คราวนี้เขาพูดชัดว่าๆ ‘ช่างแม่งสิ! เป็นคนขาวแรปแล้วทำไม’ เขายอมรับอย่างเปิดเผยถึงเพื่อนแรปเปอร์ผู้คลั่งศาสนา เพื่อนเพี้ยนๆ ที่เผลอทำปืนลั่นใส่เป้าของตัวเอง เขายอมรับว่าอาศัยอยู่กับแม่ในรถบ้านคันเก่า ยอมรับกระทั่งเรื่องที่แฟนของตัวเองไปมีความสัมพันธ์กับคนอื่น
และเมื่อเขายอมรับความเป็นจริงทุกอย่างได้ทั้งหมด ความกลัวที่เคยมีในจิตใจก็หลงเหลืออยู่ ไม่ใช่แค่กับตัวเขาเท่านั้น เพราะมันทำให้แม้กระทั่งแชมป์เปี้ยนไร้พ่ายก็ไม่เหลืออาวุธใดๆ ที่จะเอามาใช้โจมตีเขา และกลายเป็นว่า Papa Doc เองที่ถูกความกลัวครอบงำ ได้แต่ยืนนิ่งอยู่บนเวที และพ่ายแพ้โดยที่ยังไม่ได้พ่นไรม์ออกมาสักคำ ไม่ต่างอะไรกับที่ B Rabbit เคยเป็นเมื่อวันก่อน
B Rabbit และสมาชิกวง 313
สุดท้าย ‘แรป’ ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือเอาชนะความกลัวสำหรับจิมมี แต่แรปยังมีความหมายที่แตกต่างหลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะนิยามมันอย่างไร เช่นเดียวกับที่ Papa Doc ใช้เป็นเครื่องมือในการกดข่มคนอื่นให้ตัวเองอยู่เหนือกว่า วิงก์ใช้แรปเป็นเครื่องมือในการไต่เต้าและหลอกคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ ฟิวเจอร์เพื่อนของจิมมีใช้แรปเป็นเครื่องมือในการทำสิ่งที่รักอย่างไม่ย่อท้อ บ็อบใช้แรปเพื่อการเป็นที่ยอมรับ ซอลใช้แรปเพื่อความสำเร็จและชื่อเสียง อิซที่ใช้เพลงแรปเพื่อเสียดสีและสะท้อนสังคม
ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน ถึงแม้เวลาจะเปลี่ยนไป สไตล์การแรปจะถูกพัฒนาจากเดิมไปมากเท่าไร แต่ ‘หัวใจสำคัญ’ ของวัฒนธรรมฮิปฮอปที่บรรดาแรปเปอร์หน้าใหม่และเก่าใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสะท้อนความคิดและตัวตนแท้ๆ ออกมาให้สังคมได้รับรู้ก็ยังคงเป็นวัฒนธรรมที่แข็งแรงเพียงพอที่จะผลักดันและ ‘รัน’ วงการนี้ต่อไป ในอีกหลายเวทีที่เราจะได้ ‘เสพ’ ความคิดและทำความรู้จักตัวตนเบื้องลึกของพวกเขาอีกมากมายในอนาคตต่อไปอย่างแน่นอน
- Eminem มีส่วนร่วมในการทำอัลบั้มซาวด์แทร็กประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ถึง 5 เพลง และเพลง Lose Yourself ได้ส่งให้เขารับรางวัล Best Original Song จากเวทีออสการ์ปี 2003 ไปครองได้สำเร็จ