ว่ากันว่าการสิ้นสุดของสิ่งหนึ่ง จะเป็นจุดเริ่มต้นของอีกสิ่งหนึ่งอยู่เสมอ
เช่นเดียวกับบรรดาตัวละครในมหากาพย์สงครามแห่งเวสเทอรอสในซีรีส์ Game of Thrones ที่ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างตัวละครให้เราผูกพัน และก็ขีดฆ่าตัวละครนั้นทิ้งได้อย่างน่าจดจำที่สุด
THE STANDARD POP จะพาทุกคนไปสำรวจเส้นทางของนักแสดงที่รับบทตัวละครหลัก 8 ตัว จากซีรีส์ Game of Thrones ทั้ง 7 ซีซัน ว่าเมื่อเขาบอกลาอาณาจักรเวสเทอรอสไปแล้ว เส้นทางชีวิตหลังจากนั้นของพวกเขาไปทำอะไร และอยู่ที่ไหนกันบ้าง
1. เจสัน โมโมอา รับบทเป็น คาร์ล โดรโก
ตัวละครที่เปิดตัวได้เท่มากในฐานะสามีของ ‘แม่มังกร’ และหัวหน้าแห่งกองทัพนักรบ ‘ดอธแร็กคี’ ผู้น่าเกรงขาม หากแต่ท่านคาร์ลก็มีชีวิตอยู่กับเราได้ไม่นานนัก
หลังจากนั้นเขาก็ตระเวนเก็บเลเวลกับหนังหลายเรื่อง ได้แก่ Bullet to the Head, Road to Paloma (เป็นผู้กำกับเองด้วย), Wolf, Debug, The Bad Batch, Sugar Mountain, Once Upon a Time in Venice, Braven รวมทั้งซีรีส์เรื่อง Frontier
หลังจากนั้นโมโมอาเริ่มเข้าสู่เส้นทางซูเปอร์ฮีโร่ โดยได้รับโอกาสให้สวมบทเป็น ‘ราชันแห่งท้องทะเล’ ที่แรกเริ่มเปิดตัวจะยังมีแอร์ไทม์เพียงน้อยนิดในหนังเรื่อง Batman v Superman: Dawn of Justice และ Justice League แต่ทันทีที่หนังเดี่ยวของ Aquaman ออกฉายในปี 2018 โดยทำรายได้ทั่วโลกไป 1.147 พันล้านเหรียญ จากม้านอกสายตา ก็กลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ ‘แนวหน้า’ แห่งจักรวาล DC ในที่สุด
2. ฌอน บีน รับบทเป็น เน็ด สตาร์ก
ลอร์ดแห่งวินเทอร์เฟล ตัวละครที่สำคัญที่สุดในซีซัน 1 (และซีซันเดียว) พูดได้เลยว่า การตัดสินใจออกเดินทางไป King’s Landing เพื่อเป็น ‘มือขวา’ ให้กษัตริย์ โรเบิร์ต บาราธีออน คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวหลายๆ อย่างใน Game of Thrones โดยเฉพาะชะตากรรมอันแสนเศร้าของสมาชิกแห่งแดนเหนืออีกหลายคน
หลังอำลาซีรีส์ Game of Thrones ฌอน บีน ก็ยังคงรับงานอย่างต่อเนื่อง แต่ส่วนใหญ่จะโดดเด่นในวงการซีรีส์โทรทัศน์มากกว่า เช่น Legends (2014) ที่สลัดคาแรกเตอร์นักรบถือดาบไปถือปืนแทน, Medici (2018) ซีรีส์อิงประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 15 และ Curfew ที่เพิ่งออกอากาศในปีนี้ ส่วนภาพยนตร์ เขาก็ได้รับบทที่มีความสำคัญอยู่บ้างจากเรื่อง The Martian และ Jupiter Ascending ในปี 2015
ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของบีนคือ งานด้านพากย์เสียงในเกมต่างๆ ที่มีเสียงของเขาเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่าง Papa Sangre II, Kholat, Kingsglaive: Final Fantasy XV, Hitman 2 รวมทั้งในสุดยอดเกมสร้างเมืองอย่าง Civilization VI
3. ริชาร์ด แมดเดน รับบทเป็น ร็อบบ์ สตาร์ก
ร็อบบ์ สตาร์ก คือตัวละครที่ ‘เคย’ ถูกวางให้เหมือนเป็น ‘พระเอก’ หลังขึ้นเป็นลอร์ด แห่งวินเทอร์เฟล แทน เน็ด สตาร์ก พ่อแท้ๆ ของเขา ก่อนเกิดเหตุ ‘วิวาห์สีเลือด’ จนเขาต้องส่งไม้ต่อให้กับ จอน สโนว์ เป็นผู้นำแห่งแดนเหนือคนต่อไป
เมื่อพ้นช่วงชีวิตแสนรันทดใน Game of Thrones ริชาร์ด แมดเดน ก็มีโอกาสรับบทเป็น ‘เจ้าชาย’ ใน Cinderella (2015) และ โรมิโอ ในละครเวที Branagh Theatre Live: Romeo and Juliet รวมทั้งงานซีรีส์อย่าง Medici (2016), Bodyguard ที่เพิ่งออนแอร์ไปเมื่อปี 2018
และในปีนี้แฟนๆ จะมีโอกาสเห็นเขาบนจอภาพยนตร์ กับบทบาทสำคัญที่ได้รับบทเป็น จอห์น รีด ผู้จัดการของ เอลตัน จอห์น ในภาพยนตร์เรื่อง Rocketman
4. โรส เลสลี รับบทเป็น อีกริตต์
หญิงสาวคนเถื่อนแห่งแดนเหนือ ที่ถูกหน่วยลาดตระเวนไนต์วอตช์จับกุม จนเกือบจะโดนฆ่า แต่รอดมาได้ด้วยจิตใจที่อ่อนโยนของ จอน สโนว์ จนทั้งคู่เริ่มมีใจให้กัน ในที่สุด จอนก็ได้เข้าร่วมกับกลุ่มคนเถื่อน แต่แล้วเหตุการณ์ก็พลิกผัน ทำให้อีกริตต์ต้องต่อสู้กับกลุ่มไนต์วอตช์ จนกระทั่งเธอตายในอ้อมอกของคนที่เธอรัก
แต่การบอกลากันในซีรีส์ก็ไม่สามารถตัดสายสัมพันธ์ของทั้งคู่ลงไปได้ เพราะในชีวิตจริงนอกซีรีส์ นักแสดงทั้งสองได้เริ่มปลูกต้นรักกันนอกจอตั้งแต่ช่วงปี 2012 ก่อนที่จะเข้าประตูวิวาห์ และกลายเป็น ‘ผู้พิชิตในเจ้าแห่งแดนเหนือตัวจริง’ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2018
ส่วนเส้นทางในวงการบันเทิงของเธออาจจะไม่ได้โดดเด่นเท่านักแสดงคนอื่นๆ เท่าไรนัก เพราะเธอมีผลงานเด่นๆ เพียงแค่ The Last Witch Hunter หนังฟอร์มยักษ์ที่เล่นคู่กับ วิน ดีเซล ในปี 2015 และซีรีส์ The Good Fight ที่ออกอากาศตั้งแต่ปี 2017-2019 เท่านั้น
5. เปโดร ปาสคาล รับบทเป็น โอเบริน มาร์เทล
เจ้าชายนักรบแห่งอาณาจักรดอร์น ที่เปิดตัวได้เท่และมีความสามารถแบบสุดๆ แถมยังกลายเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียว ที่ต้องต่อสู่กับ The Moutain แทน ทีเรียน แลนนิสเตอร์ หลังจากตกเป็นผู้ต้องสงสัย เมื่อ ราชาจอฟฟรี สิ้นชีวิต จนกลายเป็นฉากการประลองที่หลายคนไม่อาจลืม และทำให้เขาต้องโบกมือลาอาณาจักรเวสเทอรอสไปในที่สุด
ถึงแม้ว่าชะตากรรมของตัวละคร โอเบริน จะไม่สวยงามนัก แต่เส้นทางบันเทิงของ เปโดร ปาสคาล นั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เพราะเขามีโอกาสได้รับบทบาทสำคัญในซีรีส์และภาพยนตร์หลายเรื่อง อย่าง Narcos, The Equalizer 2, Kingsman: The Golden Circle ฯลฯ รวมทั้ง Triple Frontier ภาพยนตร์ออริจินัลของ Netflix ที่เพิ่งปล่อยให้รับชมไปเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
และบทเด่นเรื่องต่อไปที่น่าจับตามองมากๆ คือการได้เป็นตัวเอกในเรื่อง The Mandalorian ซีรีส์ภาคแยกของมหากาพย์สงครามถล่มจักรวาล Star Wars ที่สามารถรับชมได้ผ่านทางแพลตฟอร์ม Disney+ ซึ่งจะเปิดตัวปลายปีนี้
6. นาตาลี ดอร์มเมอร์ รับบทเป็น มาร์จอรี ไทเรล
สาวงามจากตระกูลไทเรลล์แห่ง Highgarden ที่มองจากภาพลักษณ์ภายนอกแสนบอบบาง แต่ภายในจิตใจของเธอนั้นเข้มแข็งยิ่งกว่าชายชาตินักรบหลายคนด้วยซ้ำ เธอสู้อดทนพาตัวเองไปจนถึงระดับราชินีแห่ง King’s Landing ได้สำเร็จ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจต่อกรกับ ‘แม่ยาย’ ที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพีอย่าง เซอร์ซี แลนนิสเตอร์ ได้อยู่ดี
แต่เส้นทางของ นาตาลี ดอร์มเมอร์ หลังจากนั้น อาจจะแตกต่างกับคนอื่นๆ อยู่บ้าง เพราะเธอไม่ได้เพิ่งมารับบทเด่นในตอนหลัง แต่เธอมีผลงานแสดงออกมาตั้งแต่ตัวละครมาร์จอรีมีชีวิตอยู่แล้ว อย่างที่น่าจะคุ้นตากันมากที่สุดก็คือ บทหญิงสาวสุดเท่ เครสซิดา จาก The Hunger Games
ส่วนเส้นทางหลังจากตัวละครลาลับ เธอได้รับบทนำโดดเด่นในมินิซีรีส์เรื่อง Picnic at Hanging Rock ภาพยนตร์เรื่อง In Darkness (2018) และ The Professor and the Madman ที่เข้าฉายในปีนี้ นอกจากนี้ยังมีโปรเจกต์ร่วมกับ Netflix โดยเธอจะมาร่วมให้เสียงพากย์ตัวละครตัวใดตัวหนึ่งในเรื่อง The Dark Crystal: Age of Resistance
7. โทมัส โบรดี แซงสเตอร์ รับบทเป็น โจเจน รีด
หนุ่มน้อยที่แจ้งเกิดจากบท แซม ‘เด็กชายริรัก’ ใน Love Actually (2003) 10 ปีผ่านไป เขาเติบโตขึ้นมารับบทเป็น โจเจน ทายาทคนโตแห่ง Greywater Watch ที่มีบทบาทสำคัญในฐานะหนึ่งในผู้ที่ยอมสละชีวิตเพื่อช่วย แบรนดอน สตาร์ก ออกเดินทางไปตามหาอีกา 3 ตา จนสำเร็จ
ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในการส่ง แบรนดอน สตาร์ก ให้ถึงฝั่งแล้ว เขาก็เริ่มสานต่อชีวิตการเป็นนักแสดงของตัวเองต่อทันทีใน Phantom Halo (2014), Star Wars: Episode VII – The Force Awakens, พากย์เสียงในซีรีส์แอนิเมชันเรื่อง Thunderbirds Are Go แต่ที่คนจดจำเขาได้มากที่สุดคือบท นิวท์ ชายหนุ่มที่คอยช่วยเหลือพระเอกและเพื่อนๆ จนถึงที่สุดใน The Maze Runner ทั้ง 3 ภาค
8. แจ็ค กลีสัน รับบทเป็น จอฟฟรีย์ บาราเธียน
จากความโหดเหี้ยมของ จอฟฟรีย์ บาราเธียน ที่ทำให้คนดูออกอาการสะใจอย่างหนัก หลังจากเห็นร่างของกษัตริย์ผู้ไร้ความปรานีค่อยๆ ล้มลงไปช้าๆ และจากการแสดงออกทางสีหน้าแบบถึงลูกถึงคน ทำให้หลายคนเข้าใจไปว่า ตัวจริงของ แจ็ค กลีสัน ก็คงจะมีลักษณะคล้ายๆ กับที่เห็นในซีรีส์นั่นแหละ
แต่ในความเป็นจริง แจ็ค กลีสัน คือเด็กหนุ่มผู้แสนอ่อนโยน ที่มักจะปล่อยมุกตลกออกมาให้คนอื่นหัวเราะอยู่เสมอ เขาชอบใช้เวลาว่างไปกับการศึกษาวิธีทำขนม และยังรักหมาเป็นชีวิตจิตใจ
หลังลาจอจากซีรีส์ Game of Thrones แจ็ค กลีสัน ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่น่าจับตาในวงการบันเทิง แต่เขาเลือกที่จะหันหลังให้กับวงการ เพราะอยากมีเวลาให้กับการ ‘ใช้ชีวิต’ ด้านอื่นๆ อย่างเต็มที่ รวมทั้งการตัดสินใจศึกษาต่อในคณะปรัชญาและเทววิทยา สาขาสุดหินแห่ง Trinity College
แต่เขาก็ไม่ถึงขนาดทิ้งเรื่องการแสดงเสียทีเดียว เพราะเขาและเพื่อนๆ ยังได้รวมตัวกับเพื่อนในชั้นเรียนจัดละครเวที Bears in Space ขึ้นมาในปี 2016
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล