วันนี้ (2 ตุลาคม) ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า การตรวจพิสูจน์คดีเพลิงไหม้รถบัสทัศนศึกษา ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ พร้อมด้วยสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร, มูลนิธิร่วมกตัญญู (สนับสนุนเครื่องตัดถ่างและอุปกรณ์ในการยกเคลื่อนย้าย), กรมการขนส่งทางบก สำนักวิศวกรรมยานยนต์, สำนักงานขนส่งจังหวัดปทุมธานี, พิพล บุญจันต๊ะ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และฝ่ายตลาดก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บูรณาการเข้าตรวจสอบพิสูจน์ทราบเพิ่มเติมถึงสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้, การดัดแปลงแก้ไขรถยนต์ และมาตรฐานการวางถังก๊าซเชื้อเพลิง
ด้าน เสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ตรวจสอบพบว่ารถคันดังกล่าวจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกเมื่อปี 2513 โดยจดทะเบียนใหม่อีกครั้งเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2541
รถคันดังกล่าวต่อทะเบียน (ต่ออายุภาษี) เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 วันสิ้นอายุภาษี 30 มิถุนายน 2568 ทั้งนี้กรมการขนส่งทางบกตรวจสอบประตูฉุกเฉินพบว่าเปิดได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าขณะเกิดเหตุประตูจะสามารถเปิดได้หรือไม่ เนื่องจากขณะที่ไปตรวจนั้นเป็นการตรวจหลังจากที่รถเกิดอุบัติเหตุไปแล้ว
เสกสมกล่าวต่อว่า การตรวจสอบเบื้องต้นตัวรถไม่มีปัญหา แต่ตัวเครื่องยนต์มีการดัดแปลง ส่วนถังก๊าซเชื้อเพลิงมี 11 ถัง แต่ขออนุญาตติดตั้งไว้แค่ 6 ถัง ซึ่งขณะนี้สั่งพักใช้ใบอนุญาตผู้ประกอบการขนส่งของผู้ขับรถ รวมถึงยกเลิกการขึ้นทะเบียนบุคลากรจัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่งของบริษัทรถนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดไว้ มีการจำกัดความเร็วให้รถวิ่งไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นรถคันดังกล่าวใช้ความเร็วอยู่ที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถึงอย่างไรจะต้องรอผลการตรวจสอบ GPS อย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง