7 Things We Love About Schiaparelli แบรนด์ที่เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์แฟชั่นมาหลายครั้ง
ถ้าต้องกล่าวถึงชื่อดีไซเนอร์ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตที่สามารถสร้างชื่อจากผลงานดีไซน์ และแรงบันดาลใจที่ส่งต่อถึงเหล่าดีไซเนอร์รวมถึงคนแฟชั่นในยุคปัจจุบัน หลายคนอาจคุ้นชื่อพวกเขาเหล่านี้ เช่น Coco Chanel, Christian Dior และ Yves Saint Laurent แต่ก็ยังมีอีกชื่อหนึ่งที่น่ายกย่องนั่นก็คือ Elsa Schiaparelli ดีไซเนอร์และกูตูริเยร์สาวจากประเทศอิตาลี ผู้เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์วงการแฟชั่นด้วยงานดีไซน์ที่แปลกแหวกแนว แต่งดงามไปพร้อมๆ กัน
แม้มีช่วงหลายทศวรรษก่อนหน้านี้ที่แบรนด์ Schiaparelli ได้เงียบหายไปจากเรดาร์ของวงการแฟชั่น แต่มาวันนี้ทาง Schiaparelli กลับมาโดดเด่นและเป็นที่พูดถึงมากสุดอีกครั้งภายใต้ครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนปัจจุบัน Daniel Roseberry ที่ทุกซีซันเขาสามารถยกระดับผลงานดีไซน์ และกระแสของแบรนด์ได้มากขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อเป็นการเคารพต่อหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นที่มีประวัติศาสตร์น่าสนใจ และคน Gen ใหม่ก็กำลังสนใจสุดๆ ด้วย ในวันนี้ทาง THE STANDARD POP จะพาทุกคนลงลึกถึง 7 ประเด็นสำคัญ ที่ทำให้ Schiaparelli ยังคงอมตะตลอดกาล
SOCIALITE TURN COUTURIER
Elsa Schiaparelli เกิดและโตที่โรม ประเทศอิตาลี ในครอบครัวมีฐานะ เธอศึกษาปรัชญาที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในโรม และชอบเขียนกลอนยามว่าง หลังจากใช้ชีวิตในแวดวงของสาวสังคมมาเกือบตลอดชีวิต เธอเริ่มตระหนักได้ว่าสิ่งที่เธอหลงใหลจริงๆ แล้วนั้นคืองานศิลปะ ไม่นานนักเธอตกหลุมรักและแต่งงานกับอาจารย์ของตัวเองจนมีเหตุต้องย้ายไปนิวยอร์ก เพราะที่บ้านไม่สนับสนุนการแต่งงานนี้
ในช่วงที่เธออยู่ที่นิวยอร์ก เธอมีโอกาสศึกษางานศิลปะมากขึ้น และเริ่มสนใจมูฟเมนต์ศิลปะอย่างเซอร์เรียลิสม์และดาดา ในปี 1922 เธอกลับมาที่ปารีสเพื่อทำงานนิตยสารศิลปะ และนั่นเองที่ทำให้เธอได้พบกับครูแฟชั่นของเธอ และดีไซเนอร์ระดับตำนาน Paul Poiret ที่เป็นแรงบันดาลใจคนสำคัญให้กับงานดีไซน์ของเธอ และยังเป็นคนสนับสนุนให้เธอเปิดแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองอีกด้วย
FASHION + ART
ทุกคนรู้ดีว่า Elsa Schiaparelli นั้นหลงใหลในงานศิลปะอย่างมาก เธอเป็นดีไซเนอร์คนแรกๆ ที่มีการทำผลงานคอลลาบอเรชันร่วมกับศิลปินคนอื่น ซึ่งคนที่เธอร่วมงานด้วยก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ Salvador Dali ศิลปินเซอร์เรียลิสม์ชาวสเปนผู้โด่งดัง ผลงานของทั้งสองถ้าอยู่ในยุคนี้คงต้องใช้คำว่า Break the Internet ในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหอมขวดรูปโทรศัพท์ หมวกรูปรองเท้าส้นสูง เดรสโครงกระดูก และที่ดังที่สุดไม่พ้นเดรสล็อบสเตอร์ ซึ่งไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น แต่ Salvador Dali ก็ได้แรงบันดาลใจจากงานดีไซน์ของ Elsa Schiaparelli ไปปรากฏบนงานศิลปะของเขาเช่นกัน
ความสนใจในงานศิลปะของเธอยังคงต่อยอดไปเรื่อยๆ เธอเริ่มร่วมงานกับศิลปินหลายแขนงมากขึ้น เช่น Jean Cocteau นักกวีอาว็องการ์ดชาวฝรั่งเศส ที่เธอหยิบงานของเขามาแปรสภาพเป็นลาย Trompe L’oeil หรือ Alberto Giacometti นักปั้นที่เธอดึงเขามาช่วยออกแบบกระดุมในงานโอต์กูตูร์ของเธอ
THE DANIEL ROSEBERRY ERA
หลังจากสงครามโลกจบลง Elsa Schiaparelli พยายามที่จะกลับมาทำแบรนด์อีกครั้ง แต่ด้วยกระแสของ New Look จาก Christian Dior และคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Chanel ที่เน้นงานดีไซน์ที่สวมใส่ได้จริง ทำให้งานหลุดโลกของเธอไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป จนต้องปิดตัวลงในปี 1954 ก่อนที่บริษัท Tod’s Group ตัดสินใจซื้อและเริ่มกลับมาทำแบรนด์นี้อีกครั้งในปี 2013 โดยดีไซเนอร์ Marco Zanini แต่ก็ไม่สามารถทำให้แบรนด์นี้กลับมาได้อย่างสมศักดิ์ศรี จนกระทั่ง Daniel Roseberry เข้ามา พร้อมผลงานคอลเล็กชันกูตูร์ Fall 2019
Daniel Roseberry เป็นดีไซเนอร์หนุ่มชาวอเมริกัน ผู้เคยผ่านงานหินๆ มาแล้วที่แบรนด์สุดเก๋าอย่าง Thom Browne โดยมุมมองของ Daniel Roseberry เปลี่ยนความเซอร์เรียลของ Elsa Schiaparelli ให้กลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง เขานำเสนอและแนะนำให้ Gen ใหม่ได้รู้จักชื่อของ Schiaparelli ในบริบทที่โมเดิร์นขึ้น แต่คงไว้ด้วยความซ่า ก๋ากั่น และแฝงไปด้วยอารมณ์ขัน
SHOCKING PINK!
ในปี 1937 แบรนด์ Schiaparelli เปิดตัวน้ำหอมชื่อ Shocking มาพร้อมเฉดสีที่กลายเป็น DNA ของแบรนด์นั่นก็คือสี Shocking Pink คำว่า Shocking ที่เธอใช้อธิบายเฉดสีชมพูสดของเธอนั้นไม่เกินจริงเลย เพราะในยุคนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี โทนสีที่คนนิยมใส่ในช่วงหดหู่เช่นนี้มักเป็นโทนสีมืดๆ อย่าง ดำ เทา หรือเนวีมากกว่า ดังนั้นการมาของสีสดในช่วงสงครามสร้างเซอร์ไพรส์ให้คนในยุคนั้นเป็นอย่างมาก และยังฉีกตัวเธอจากดีไซเนอร์คนอื่นๆ ที่ทำโทนสีมืดตามสถานการณ์ ซึ่งเธอยังนำแรงบันดาลใจของสีโปรดมาใช้เป็นปก และชื่อหนังสืออัตชีวประวัติของตัวในชื่อ Shocking Life
THE SWEATER
หลายคนอาจไม่รู้ Elsa Schiaparelli เคยต้องปิดแบรนด์ตัวเองครั้งหนึ่งเพราะมีปัญหาด้านการเงิน แต่เธอก็สามารถกลับมาได้อย่างสวยงาม ด้วยการนำเทคนิคงานศิลปะเซอร์เรียลชื่อ Trompe L’oeil มาใส่ในงานดีไซน์บนเสื้อถัก ด้วยเลเยอร์งานปักสองรอบประกบกัน และในปีนั้นเองเสื้อถักลายโบ Trompe L’oeil ได้ปรากฏบนนิตยสาร Vogue เมื่อปี 1927
ไม่เพียงแค่นั้นเธอยังคิดค้นดีไซน์ใหม่อยู่ตลอด เช่น แรปเดรส, ไอเท็ม Jupe-Culotte หรือกางเกงขาบาน 4 ส่วน, ชุดราตรีพร้อมแจ็กเก็ต ลายพิมพ์หนังสือพิมพ์ และอีกมากมาย จนเธอได้ขึ้นปกนิตยสาร Time ในฐานะผู้บุกเบิก Ultra-Modern Haute Couture และยังเป็นดีไซเนอร์ผู้หญิงคนเดียวในยุคนั้นที่ได้ขึ้นปก Time
BREAKING THE INTERNET
ในปี 2020 ทั้งโลกเริ่มให้ความสนใจ Schiaparelli อีกครั้ง หลังจากที่มีภาพปรากฏของ Kim Kardashian ในชุดเกาะอกสีเขียวที่มีลักษณะคล้ายกล้ามท้อง จนเกิดมีมล้อเธอว่าดูเหมือน She Hulk หรือ Lady Gaga ใส่เดรสเข้ารูปตัดต่อกระโปรงสุ่มสีแดงขึ้นร้องเพลงในพิธีเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ Joe Biden และชุดแคทสูทสีดำพร้อมเล็บทองที่ Beyonce สวมขึ้นรับรางวัล Grammy Awards ที่ช่วยสร้างโมเมนต์ และผู้คนเริ่มตั้งคำถามว่าใครคือ Schiaparelli แต่ที่ Break the Internet จนกลายเป็นไวรัลนั้นคงไม่มีใครลืมเดรสสีดำเว้าช่วงอก และสร้อยรูปปอดที่นางแบบสาว Bella Hadid ใส่เดินพรมแดงงานเทศกาลหนังเมืองคานส์ไปได้ โมเมนต์นั้นสามารถสร้างมูลค่าทางสื่อได้สูง 323 ล้านบาท และยังมียอดเสิร์ชชื่อแบรนด์ Schiaparelli สูงเพิ่มขึ้นกว่า 1,900% อีกด้วย
THE BRAND TODAY
Schiaparelli กำลังเริ่มเป็นที่นิยมแบบช้าๆ แต่มั่นคงในอุตสาหกรรมแฟชั่น ปัจจุบันแบรนด์มีไลน์เสื้อทั้งหมด 2 ไลน์นั่นก็คือ Ready-to-Wear แบบสำเร็จรูป และโอต์กูตูร์ (Haute Couture) โดยทั้งสองไลน์แยกกันอย่างสิ้นเชิง และต่างก็มีฐานลูกค้าเป็นของตัวเอง นอกจากเสื้อผ้าแล้วนั้น Schaiparelli ในยุคของ Daniel Roseberry ยังทำท่าจะไปได้ดีมากในธุรกิจเครื่องหนังและเครื่องประดับ โดยเฉพาะกระเป๋าหนังซิกเนเจอร์รูปหน้าคน ที่เพิ่มสินค้าในช็อปทีไรก็จะขายหมดทันที และกลายเป็นไอเท็ม Waiting List ไปเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้น Daniel Roseberry ถือเป็นตัวพลิกสถานการณ์สำคัญของวิกฤตเซอร์เรียลิสม์ของแบรนด์นี้ เขาเข้าใจอิทธิพลของ Pop Culture และพยายามจะผสานตัวเองเข้ากับมัน รวมถึงเชิญชวนให้ Gen ใหม่ๆ ได้สัมผัสงานของ Schiaparelli ซึ่งเราเชื่อว่าหลายคนรู้จักแบรนด์ Schiaparelli จาก Daniel Roseberry มากกว่าช่วงยุคผู้ก่อตั้ง และต่อไป Schiaparelli ก็จะยังเติบโตอย่างสวยงาม และก้าวไกลแน่นอน