×

7 THINGS WE LOVE ABOUT JOHN GALLIANO อัจฉริยะด้านความคิดสร้างสรรค์ ผู้พลิกวงการแฟชั่น

03.09.2023
  • LOADING...
JOHN GALLIANO

EARLY LIFE & CENTRAL SAINT MARTINS

 

John Galliano เกิดและโตที่ยิบรอลตาร์ ดินแดนโพ้นทะเลสหราชอาณาจักร เขาย้ายมาอาศัยที่ประเทศอังกฤษตอนอายุได้ 6 ขวบ โดยแรงบันดาลใจในการเป็นดีไซเนอร์ของเขามาจากแม่ของเขาผู้ซึ่งเป็นนักเต้นระบำฟลามิงโกสเปน ซึ่งเธอมักจับเขาแต่งตัวให้ดูดีแม้จะแค่ไปจ่ายตลาดก็ตาม จนเป็นที่มาให้เขาตัดสินใจเข้าเรียนที่ Central Saint Martins มหาวิทยาลัยศิลปะและแฟชั่นชื่อดังของประเทศอังกฤษ ก่อนจะจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากคอลเล็กชัน Les Incroyables ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากการปฏิวัติฝรั่งเศส จุดเด่นเสื้อผ้าของเขาในตอนนั้นคือการผสมผสานวัฒนธรรมที่ต่างกันให้ออกมาในรูปแบบของเครื่องแต่งกายได้อย่างไร้ที่ติ คอลเล็กชันจบของเขาประสบความสำเร็จและถูกพูดถึงเป็นอย่างมากจน Brown ร้านเสื้อผ้ามัลติแบรนด์ชื่อดังของอังกฤษยอมซื้อทุกชิ้นเพื่อนำไปวางขาย 

 

 


 

BREAKTHROUGH COLLECTION 

 

หลังจากจบการศึกษา John Galliano เปิดแบรนด์ภายใต้ชื่อของตนเอง เขาค้นพบซิกเนเจอร์การตัดเย็บที่สร้างชื่อให้กับเขา นั่นคือการตัดผ้าเฉลียง หรือ Bias Cut เสื้อผ้าของเขาเน้นการตัดเย็บที่ประณีตโดยใช้การสไตลิ่งสุดโต่งช่วยชูโรงให้คอลเล็กชันของเขาเป็นที่จดจำ แต่เพราะไม่มีหัวด้านธุรกิจเลย เขาถูกประกาศให้เป็นผู้ล้มละลายในปี 1990 และนั่นทำให้เขาย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในปี 1994 เขาฮึดสู้กลับมาอีกครั้งจากแรงซัพพอร์ตของ Anna Wintour และ André Leon Talley บรรณาธิการผู้บริหารและครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของนิตยสาร Vogue อเมริกา คอลเล็กชัน Fall/Winter 1994 ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม แถม Anna ยังเชิญ Bernard Arnault ผู้เป็นเจ้าของเครือบริษัท LVMH มาร่วมดูโชว์ก่อนแนะนำ Bernard ให้เลือก John มาทำงานให้หนึ่งแบรนด์ในเครือ ซึ่งต่อมา John ก็ถูกเลือกมาดูแลแบรนด์ Givenchy ในปี 1995 

 

 


 

THE DIOR ERA

 

หลังจากทำงานได้แค่หนึ่งปีที่ Givenchy วงการแฟชั่นต้องเซอร์ไพรส์อีกครั้งเมื่อ John Galliano ถูกโปรโมตให้มาดูแลแบรนด์อันดับหนึ่งของเครือ LVMH อย่าง Christian Dior แทน โดย Bernard เคยกล่าวว่า John นั้นมาหาเขาถึงที่ออฟฟิศเพื่อขอทำงานให้กับ Christian Dior โดยคอลเล็กชันแรกของเขาเกิดขึ้นในปี 1998 เป็นคอลเล็กชันโอต์กูตูร์ที่ทำให้ผู้ชมอ้าปากค้างในงานดีไซน์ที่สวยงามแบบไร้ที่ติ เขาร่ายมนตร์เปลี่ยนให้แบรนด์ที่เคยดูเชยของผู้หญิงสูงวัยสู่แบรนด์แฟชั่นระดับโลก เขาผสานระหว่างงานเชิงพาณิชย์ผ่านคอลเล็กชัน Ready-to-Wear ตีความกระแส Y2K จนกลายผู้นำเทรนด์ของยุคนั้น 

 

ในขณะเดียวกันเขายังสร้างสรรค์งานสุดวิจิตรผ่านคอลเล็กชันโอต์กูตูร์ด้วยเทคนิคและการนำเสนอที่ยากจะหาใครเทียบ John สร้างปรากฏการณ์มากมายตั้งแต่ลายโลโก้ กระเป๋ารุ่น Saddle Bag รวมถึงกระเป๋า Lady Dior ที่เขาดีไซน์สำหรับเจ้าหญิง Diana ขณะเสด็จไปร่วมงาน Met Gala ที่ช่วยส่งให้แบรนด์มียอดขายแตะ 1 พันล้านดอลลาร์ได้สำเร็จในปี 2010 อย่างไรก็ตามในปี 2011 กลับเกิดเหตุการณ์ฉาวจนทำให้เขาต้องออกจาก Christian Dior เมื่อคลิปถ้อยคำดูถูกชาวยิวของเขาถูกเผยแพร่สู่โลกอินเทอร์เน็ต 

 

 


 

FINALE MOMENTS 

 

นอกจากงานดีไซน์และการนำเสนอที่สุดโต่งเรียกเสียงฮือฮาได้ตลอดแล้วนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของโชว์คือการที่เขามักปรากฏตัวช่วงฟินาเล่ ซึ่งเขามักแต่งองค์ทรงเครื่องแบบจัดเต็มทั้งเสื้อผ้า หน้าและผม ให้เข้ากับโชว์ในแต่ละธีม ก่อนจะเดินเฉิดฉายราวกับเป็นหนึ่งในนางแบบของโชว์นั้น John ชอบออกแบบเสื้อผ้าก็จริง แต่เขาก็สนุกกับการเป็นที่สนใจของสื่อด้วยเช่นกัน ในยุคนั้นดีไซเนอร์มักมีชื่อเสียงมากพอๆ กับแบรนด์ที่พวกเขาดูแลอยู่ ดังนั้นดีไซเนอร์ไม่ต่างอะไรกับซูเปอร์สตาร์ที่สามารถออกแบบเสื้อผ้าได้ หลายต่อหลายครั้งคนเลือกจะจำตัวเขามากกว่าเสื้อผ้าที่เขาออกแบบด้วยซ้ำ

 

 


 

COMEBACK AT MARGIELA

 

หลังเหตุการณ์ฉาวจนเขาโดนไล่ออกจาก Dior ทาง John Galliano หันหลังให้กับวงการแฟชั่นและตัดสินใจเข้าบำบัดอาการติดแอลกอฮอล์และสิ่งเสพติดจนดีขึ้นในที่สุด แต่ในปี 2014 เขากลับสู่วงการแฟชั่นอีกครั้งในฐานะครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของแบรนด์ Maison Margiela โดยแทนที่จะดีใจที่เขากลับมา แต่กลายเป็นว่าหลายคนกังวลว่าตัว John นั้นอาจไม่เหมาะกับแบรนด์ Maison Margiela เมื่อเทียบกับตัวตนของเขาสมัยก่อน ซึ่งคอลเล็กชันโอต์กูตูร์ Artisanal Spring/Summer 2015 คือคอลเล็กชันแรกของเขา งานดีไซน์ที่เรียบ นิ่ง เน้นการนำงานเก่ามาตีความใหม่ สร้างความแปลกตาอีกรูปแบบให้กับผู้ชม เขาผสานปรัชญาของดีไซเนอร์ผู้ก่อตั้งและสอดแทรกตัวตนของเขาได้อย่างน่าสนใจ ส่วนคอลเล็กชัน Artisanal Spring/Summer 2017 พิสูจน์ให้เห็นว่าเขายังมีกึ๋นและนำป๊อปคัลเจอร์เข้ามาใช้ในการเป็นแรงบันดาลใจเช่นเดิม เมื่อคอลเล็กชันนี้เขาได้แรงบันดาลใจมาจากการถ่ายเซลฟีเขาจึงนำผ้ามาจับขึ้นเป็นหน้าคนเสียเลย แม้จะไม่เปรี้ยงปร้างเท่า Christian Dior แต่การมาของ John สร้างยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เพียงหนึ่งปีหลังจากเขามาที่ Maison Margiela 

 

 


 

DESIGN VISION

 

แน่นอนว่าเทคนิคการตัดเย็บซิกเนเจอร์ของ John Galliano คือเทคนิคการตัดผ้าเฉลียงที่เขามักใช้ในการทำเดรสจนเป็นที่จดจำไปทั่ววงการ แต่สิ่งที่ทำให้ John ประสบความสำเร็จมากๆ มาจากการผสมผสานระหว่างงานอาร์ตและงานเชิงพาณิชย์ เขาเข้าใจโลกทุนนิยมว่าเมื่อเขาทำชุดโอเวอร์ที่ยากจะใส่จริงบนรันเวย์เขาต้องมีกระเป๋าและรองเท้าที่ผู้บริโภคจะต้องตามซื้อด้วยเช่นกัน ดูได้จากงานของเขาที่ Christian Dior ทุกชุดอาจไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อสวมใส่จริงแต่กลับเน้นภาพจำมากกว่า ในขณะที่กระเป๋าและรองเท้าถูกนำมาสร้างคอนทราสต์สร้างความกระหายในจับจ่ายให้กับผู้บริโภค อีกหนึ่งจุดเด่นเลยของ John คือการผสมผสานวัฒนธรรมจากต่างที่เข้ามาไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว เขานำกลิ่นอายการแต่งตัวของวัฒนธรรม เช่น ญี่ปุ่น จีน อียิปต์ ฝรั่งเศส วิกตอเรียน และอีกมากมาย รวมถึงกระแสของสังคมที่กำลังเกิดมาปรับใช้ให้อยู่ในบริบทของเครื่องแต่งกายยุคโมเดิร์น ซึ่งเขานำสิ่งนี้มาใช้ที่ Maison Margiela ด้วยเช่นกัน  

 

 


 

AWARDS & RECOGNITION 

 

แม้ว่าปัจจุบันชื่อของ John Galliano อาจไม่ได้หวือหวาสำหรับคนรุ่นใหม่แล้วก็ตาม แต่เขาถือได้ว่าเป็นบุคลากรแฟชั่นชั้นครูที่สำคัญของวงการแฟชั่นอย่างมาก เขาคือผู้พลิกโฉมแบรนด์ระดับโลกอย่าง Christian Dior ให้กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง John ได้รับการยอมรับและเป็นที่นับถือจากคนในวงการจากฝีมืออันน่าเหลือเชื่อของเขา และเขายังมีรางวัลการันตีความสำเร็จมากมาย อาทิ British Designer of The Year ที่เขาสามารถเก็บกลับบ้านได้ถึง 4 ครั้ง รวมถึงได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันวิเศษยิ่งแห่งจักรวรรดิบริติชในฐานะดีไซเนอร์ทรงคุณค่าผู้สร้างผลงานยอดเยี่ยมให้กับอุตสาหกรรมแฟชั่น ตอนนี้ John เลือกใช้ชีวิตให้เรียบง่ายขึ้น เขาเติบโตและเรียนรู้ข้อผิดพลาดของตัวเองและพยายามแก้ไขมัน สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขายังเป็นที่ยกย่องของใครหลายคนคือความพยายาม ถ้าล้มแล้วต้องลุกขึ้นมาใหม่ให้ได้และใช้ผลงานอันยอดเยี่ยมเป็นตัวผลักดันให้คนพูดถึง

 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X