2000s Icon
ยุคพีคของ David Beckham ในฐานะนักฟุตบอลต้องยกให้เป็นช่วง 90 นักเตะกำลังสำคัญของทีมปีศาจแดง Manchester United กับเลข 7 หมายเลขประจำตัวของเขาในระหว่างที่อยู่ทีมปีศาจแดง แต่ช่วงยุค 2000 หรือ Y2K คือยุคของเขาในฐานะแฟชั่นไอคอนของผู้ชายทั่วโลก ซึ่ง David โด่งดังมากๆ จากสไตล์นอกสนาม เขาเป็นนักกีฬาคนแรกๆ ในวงการฟุตบอลที่เริ่มนำแฟชั่นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างตัวตน สไตล์ของเขาในยุคนั้นเรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างให้กับผู้ชายไปทั่วโลกที่อยากแต่งตัวดี เขานำเทรนด์กางเกงเอวต่ำตัวโคร่ง และกางเกงทรงคาร์โก้ที่กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในปี 2023 ใครที่นึกภาพไม่ออกลองดูตัวอย่าง Justin Bieber ที่การแต่งตัวของเขาคล้ายกับสไตล์ของ David ในยุคนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องเสื้อผ้าอย่างเดียว David ยังเป็นไอคอนในเรื่องของการกรูมมิงตัวเองอีกด้วย โดยเฉพาะเรื่องทรงผมที่มักสร้างเซอร์ไพรส์อยู่ตลอด
Couple Style
นอกจากความหล่อและฝีเท้าอันเป็นสุดยอดแล้วนั้น กระแส Posh and Becks ที่ถูกตั้งโดยสื่อทั่วโลกระหว่างตัวเขาและ Victoria Adams จากวง Spice Girls หลังจากทั้งคู่ออกเดตกันยิ่งส่งให้ตัวเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ความเก๋ของคู่นี้มาจากสไตล์ที่พวกเขามักจะเลือกเสื้อผ้าที่แมตช์เข้ากันในแบบฉบับของตัวเอง เช่นในปี 2001 ทั้งสองพาลูกชายคนแรก Brooklyn ออกมาเดินเล่นในชุดโทนสีเบจแมตช์เข้าคู่กันได้อย่างลงตัว ในปี 2003 ขณะที่เดินทางไปสนามบินทั้งคู่เลือกสวมเสื้อเบลเซอร์แมตช์เข้ากับกางเกงยีนส์ รวมถึงในงาน MTV Movie Awards ในปีเดียวกัน ทั้งสองปรากฏตัวในลุคสีขาวจาก Dolce & Gabbana แมตช์กันลงตัวอีกครั้ง แม้กระทั่งแคมเปญชุดชั้นในของ Emporio Armani ทั้งสองยังถ่ายด้วยกันอีกต่างหาก คงต้องยกให้คู่นี้จริงๆ สำหรับการสร้างเทรนด์ Couple Style ที่มักส่งเสริมกันและกัน
Fashion Endorsements
ความโด่งดังของ David ทำให้ในยุคหนึ่งเขาถือเป็นนักกีฬาที่มีค่าตัวสปอนเซอร์จากแบรนด์สูงที่สุด เขาเซ็นสัญญากับแบรนด์ adidas เพื่อออกคอลเล็กชันเสื้อผ้าและรองเท้าฟุตบอลก่อนจะขยายไปสู่ไลน์อื่นๆ แต่ที่สร้างเสียงฮือฮาอย่างมากต้องยกให้กับแคมเปญโฆษณาชุดชั้นในของ Emporio Armani ที่ภาพเปิดตัว Break the Internet ของยุคนั้นไปเลย ทำเอาหลายคนหายใจไม่ทั่วท้อง แถมยังมีรายงานว่าระยะเวลากว่า 3 ปีของแคมเปญนี้เขาได้เงินราวๆ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนั้นเขาได้ขึ้นแคมเปญดังๆ มาแล้ว เช่น Belstaff, Breitling, Tudor และ H&M ที่เขายังร่วมคอลแลบทำคอลเล็กชันพิเศษขึ้นมาจนประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม
Sarong Moment
สไตล์ของ David ที่คนพูดถึงหนาหูมากที่สุดอีกหนึ่งลุคต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 1998 ช่วงฟุตบอลโลก เขาช็อกคนทั้งโลกหลังจากถูกถ่ายรูปขณะเดินทางกลับบ้านกับ Victoria ในชุดโสร่งจากแบรนด์ Jean Paul Gaultier ในยุคสมัยใหม่การที่ผู้ชายใส่กระโปรงหรือโสร่งดูเป็นเรื่องปกติและถือว่าเป็นแฟชั่น แต่ในยุคนั้นสไตล์ของเขากลับถูกต่อว่าในเชิงลบมากว่า สื่อหลายสำนักยกให้เป็นสไตล์ยอดแย่ตลอดกาลของเขาไปเลย แต่ใครจะไปคิดว่าในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ลุคโสร่งของเขาจะกลายเป็นไอคอนิกลุคของผู้ชายยุคใหม่ David ยังเคยให้สัมภาษณ์ในรายการ The Late Late Show With James Corden ว่า เขาไม่เสียใจเลยกับแฟชั่นในอดีตที่ผ่านมา เพราะเขาคิดมาดีแล้วว่า ณ ช่วงเวลานั้นการแต่งตัวแบบนั้นเป็นตัวเขามากๆ แต่ถ้าให้ใส่แบบเดิมอีกตอนนี้ก็คงไม่ใช่ตัวเขาแล้ว
Evolving Hairstyles
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้น David มีอิทธิพลต่อกระแสกรูมมิงของผู้ชายเป็นอย่างมาก เขายังเป็นคนนำเทรนด์ ‘Metrosexual’ กระแสผู้ชายดูแลตัวเองและแต่งองค์ทรงเครื่อง โดยเฉพาะเรื่องของ ‘ทรงผม’ เขาทรงอิทธิพลถึงขนาดผู้ชายหลายคนตัดผมตามเลยทีเดียว เราเริ่มรู้จัก David ในยุค 90 กับลุคผมแสกกลางสีบลอนด์ที่กลายเป็นซิกเนเจอร์ลุคของยุคนั้นไปเลย David เริ่มนำกระแสการแต่งผมแบบ Wet Look มาให้พวกเราเริ่มรู้จักในยุคปลาย 90 ก่อนที่เขาจะเริ่มทดลองทรงผมของเขาไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ไว้ยาว โกนผม ไปจนถึงถักเปียทั้งหัวก็ทำมาแล้ว อีกหนึ่งเทรนด์ที่ David เซ็ตมาตรฐานไว้อีกเช่นกันนั่นก็คือ การเซ็ตผมทั้งแบบเป๋ข้าง แนวตั้ง ไปจนถึงเสยไปข้างหลัง
Building Own Fashion Empire
บทบาทของ David ไม่จบแค่เป็นพรีเซนเตอร์เท่านั้น เขายังสร้างอาณาจักรแบรนด์ David Beckham ของเขาขึ้นมาอีกด้วย ในปี 2014 เขาเปิดบริษัทชื่อ DB Ventures สำหรับธุรกิจอื่นๆ ที่นอกเหนือจากงานฟุตบอลของเขา เช่น Haig Club แบรนด์เครื่องดื่มวิสกี้ของเขาเอง ในฝั่งแฟชั่นก็ไม่เบาเช่นกัน เขาเปิดแบรนด์แว่นตาในชื่อ Eyewear by David Beckham โดยนำความชอบส่วนตัวในการสะสมแว่นตาของตัวเองมาเป็นแรงบันดาลใจในการทำแบรนด์ และเขายังมีแบรนด์ผลิตภัณฑ์กรูมมิง House 99 ที่จับมือร่วมกับแบรนด์ L’Oreal Luxe รวมถึง Kent & Curwen แบรนด์เสื้อผ้าจากประเทศอังกฤษที่ดึง David มาร่วมออกแบบคอลเล็กชันในปี 2015 ก่อนจะหมดสัญญาในปี 2018 ซึ่งถือเป็นครั้งที่สองต่อจาก H&M ที่เขามีส่วนร่วมในการออกแบบเสื้อผ้าร่วมกับทีม โดยนำเอาสไตล์ของเขามาผสมผสานกับเสื้อผ้าคลาสสิกบริติช
Current Style
จากหนุ่มหน้าหล่อ Y2K ขวัญใจวัยรุ่นยุค 90 ปัจจุบันในวัย 48 ปี เขายังดูดีเช่นเดิม สิ่งที่เปลี่ยนไปนอกจากอายุแล้วนั่นคือสไตล์ของเขาที่ดูโตขึ้นตามวัย จากกางเกงยีนส์ทรงโคร่งตอนนี้สไตล์ของ David คือ Smart Casual ผสมผสานระหว่างชุดสูทคัตติ้งคมกริบแบบทั้งลุคหรือมิกซ์แอนด์แมตช์ให้ดูแคชชวลมากขึ้นตามวาระและโอกาส แบรนด์โปรดของเขาตอนนี้ดูจะเป็นเสื้อผ้าสไตล์ Preppy ผสมงานเทเลอร์เนี้ยบๆ เช่น Ralph Lauren หรือ Loro Piana ที่เรามักเห็นเขาใส่อยู่บ่อยครั้ง ถือเป็นพัฒนาการของสไตล์ตามอายุที่เปลี่ยนไป แต่ยังคงไว้ซึ่งสไตล์และตัวตนของตัวเองอยู่ ไม่แปลกเลยที่ในวัยนี้แล้ว David ยังคงเป็น Modern Style Icon ของผู้ชายยุคนี้เช่นเดิม และเขาจะเป็นภาพเรเฟอเรนซ์การแต่งตัวและทรงผมของผู้ชายตลอดไป