เว็บไซต์ข่าวสถานีโทรทัศน์ CNN รายงานว่า ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ชั้นนำระดับโลก 7 แห่ง กำลังร่วมมือกันเพื่อสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จเร็ว (Fast Charging) ขนาดใหญ่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วภูมิภาคอเมริกาเหนือ โดยเป็นหนึ่งในความพยายามเพื่อทำให้รถยนต์ไฟฟ้าได้รับความสนใจจากเหล่าผู้บริโภคในตลาดมากขึ้น
รายงานระบุว่า บริษัทรถยนต์ทั้ง 7 แห่งนี้ ประกอบด้วย General Motors, BMW Group, Honda, Hyundai, Kia, Mercedes-Benz และ Stellantis ซึ่งเบื้องต้นค่ายรถยนต์เหล่านี้เปิดเผยว่า วางแผนที่จะติดตั้งสถานีชาร์จอย่างน้อย 30,000 แห่งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา
ทั้งนี้ สถานีชาร์จใหม่แห่งแรกจะเปิดในฤดูร้อนปีหน้าที่สหรัฐอเมริกาก่อนจะขยายไปยังแคนาดา
Mary Barra ผู้บริหารระดับสูงของ GM ระบุในแถลงการณ์ว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของ GM ที่มีต่ออนาคตยานยนต์ไฟฟ้า โดยไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าไปยังลูกค้าแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังลงทุนในด้านการชาร์จ ตลอดจนการทำงานเพื่อยกระดับทั่วทั้งอุตสาหกรรมเพื่อให้รถยนต์ไฟฟ้าเข้าถึงได้มากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริหารระดับสูงของ GM ยังมองว่า “ยิ่งผู้คนมีประสบการณ์ที่ดีต่อ EV มากขึ้น การยอมรับรถ EV ก็จะยิ่งเติบโตเร็วขึ้น”
นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังมีขึ้น หลังมีการเปิดเผยผลการสำรวจของ Cox Automotive เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งพบว่าประมาณ 1 ใน 3 ของชาวอเมริกันที่ตอบแบบสอบถามให้เหตุผลว่า การขาดสถานีชาร์จเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ไม่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ โดยลดลงจาก 40% ในปี 2021 ขณะเดียวกัน จำนวนคนที่กำลังพิจารณาซื้อรถยนต์ Ev มาใช้ก็เพิ่มขึ้นมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับเมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 38%
แถลงการณ์ร่วมของ 7 ค่ายรถยนต์ระบุ สถานีชาร์จใหม่จะสร้างขึ้นตามเมืองใหญ่ๆ รวมถึงตามเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยม โดยสถานีชาร์จแต่ละแห่งจะมีเครื่องชาร์จแรงสูง ทำให้ชาร์จได้เร็วหลายเครื่อง โดยสามารถเติมแบตเตอรี่ของรถ EV ได้ประมาณ 80% ใน 30 นาทีหรือมากกว่านั้นเล็กน้อย
นอกจากนี้ ตัวสถานียังมีหลังคาบังแดดบังฝน รวมถึงมีร้านค้าตลอดจนห้องน้ำไว้คอยให้บริการระหว่างรอชาร์จ
และที่สำคัญที่สุด เครื่องชาร์จทั้งหมดในสถานีจะพึ่งพาแหล่งพลังงานหมุนเวียนเป็นหลักในฐานะตัวกำเนิดไฟฟ้า
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวสถานีชาร์จจะทำงานร่วมกับแอปโทรศัพท์ต่างๆ ของเหล่าผู้ผลิตรถยนต์แต่ละราย เพื่อให้สามารถค้นหาสถานีชาร์จ และเริ่มชาร์จได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ขณะเดียวกัน รถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตโดยผู้ผลิตรายอื่นนอกเหนือจากค่ายรถทั้ง 7 ค่ายที่กล่าวมาก็สามารถชาร์จที่สถานีเหล่านี้ได้เช่นกัน โดยการร่วมทุนครั้งใหญ่และใหม่ครั้งนี้จะอาศัยเงินทุนจากผู้ผลิตรถยนต์ รวมถึงการใช้ทุนที่เสนอโดยรัฐบาลกลางเพื่อสร้างเครื่องชาร์จพร้อมสถานี EV ใหม่
รายงานระบุว่า การร่วมทุนครั้งใหม่นี้จะช่วยเพิ่มจำนวนเครื่องชาร์จแบบเร็วในสหรัฐฯ ให้เกิดขึ้นอย่างมากมายในปัจจุบัน ซึ่งอ้างอิงจากข้อมูลกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ พบว่า ขณะนี้มีเครื่องชาร์จ NACS และ CCS ประมาณ 35,000 เครื่องในสหรัฐอเมริกา แต่จะต้องมีอีกจำนวนมากเนื่องจากจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ GM และ Mercedes ได้ประกาศก่อนหน้านี้ว่า บริษัทวางแผนที่จะใช้มาตรฐานการชาร์จในอเมริกาเหนือของ Tesla ในขณะที่รายอื่นๆ ยังไม่ได้ประกาศแผนการที่จะเปลี่ยน ดังนั้นเครื่องชาร์จที่สร้างโดยบริษัทใหม่จะมีทั้งสาย NACS และสาย CCS ที่ใช้กันแพร่หลายมากขึ้น หรือสายระบบชาร์จแบบผสมผสาน ซึ่งเป็นสายประเภทที่ใช้โดยรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่
Brian Moody บรรณาธิการบริหารของ Autotrader กล่าวว่า ปีนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่ ยอดขายรถยนต์ EV ในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นมากกว่า 1 ล้านคัน และมีแนวโน้มจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งได้อานิสงส์จากมาตรฐานการปล่อยมลพิษที่วางแผนไว้ของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่กำหนดไว้ว่าภายในปี 2030 รถยนต์ใหม่ครึ่งหนึ่งที่ขายในสหรัฐฯ จะต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้า
ด้านห้องปฏิบัติการพลังงานหมุนเวียนแห่งชาติ (The National Renewable Energy Laboratory) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ออกมาคาดการณ์โดยอ้างอิงจากตัวเลขประเมินของยอดขายข้างต้นว่า ภายในปี 2030 สหรัฐฯ น่าจะต้องการใช้เครื่องชาร์จแบบเร็วจำนวน 182,000 เครื่อง
อ้างอิง: